ข้าขอลิขิตชีวิตข้าเอง

ความรู้สึกสำนึกที่ถูกยุคสมัยสร้างขึ้นว่าเราต่างหากที่เป็นคนกำหนดชีวิตของเรา ซึ่งหากการกระทำนั้น "ดี" แล้วย่อมไม่ต้องเกรงกลัวอะไร
“ผมไม่มีความผิด...ผมขอลิขิตชีวิตตัวเอง ไม่ขอให้ใครกำกับชีวิต” (มติชน 25 กันยายน 2556) เป็นคำพูดตอนหนึ่งที่นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ที่สะกิดใจผมอย่างแรง ผู้ว่าราชการท่านนี้ถูกย้ายเข้า “กรุ” กระทรวงมหาดไทยและได้แสดงเจตจำนงที่จะไม่ยอมถูกย้ายเพราะเขาเองเห็นว่าตนเองไม่มีความผิดอันใด
หากให้ผมเดา ก็อยากจะเดาว่าผู้ว่าฯท่านนี้ชมชอบเพลงเก่าชื่อว่า “เย้ยฟ้าท้าดิน” แน่ๆ เพราะผมพบว่าคนจำนวนไม่น้อยที่เติบโตมาในช่วงปลายทศวรรษ 2490 ต่อต้นทศวรรษ 2510 จะชื่นชอบเพลงนี้อย่างมาก และมักจะแสดงออกด้วยการพูดอะไรทำนองนี้ ตัวอย่าง คุณเสนาะ เทียนทอง นักการเมืองอาวุโสที่หากจะต้องร้องเพลงก็จะร้องอยู่เพลงเดียวนี้แหละ (ขอแหย่ว่าอาจจะร้องถูกโน้ตได้เพลงเดียวนี้เท่านั้น : ฮา) หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของร้อยตรี พูลศักดิ์ สัตยานุรักษ์ อดีตผู้ว่าราชการหลายจังหวัด ได้บันทึกเนื้อเพลง “เย้ยฟ้าท้าดิน” ไว้ และระบุว่าเป็นเพลงที่ท่านชอบมากที่สุด (ข่าวลือบอกว่าสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ชอบที่คุณสุเทพ วงศ์กำแหงขับร้องมาก)
เพลงนี้แต่งขึ้นโดยคุณชาลี อินทรวิจิตร และคุณสัมพันธ์ อุมากูล ขับร้องครั้งแรกโดย คุณสมสกุล ยงประยูร ในปี พ.ศ. 2496 ต่อมาร้องโดยคุณสุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ ในละครเพลงปี พ.ศ.2497 จากนั้นก็ได้มีผู้นำไปขับร้องอีกมากมายหลายท่าน เช่น สุเทพ วงศ์กำแหง สันติ ลุนเผ่ จนถึงปัจจุบันชื่อเพลงถูกนำมาเป็นชื่อบทละครและขับร้องเพลงนี้โดยคุณแอ๊ด คาราบาว
ความนิยมและชื่นชอบในเพลงนี้อย่างลึกซึ้ง ไม่ได้เกิดเพราะความไพเราะของเพลงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะความไพเราะกินใจย่อมจะต้องประกอบระบบอารมณ์ความรู้สึกของผู้รับฟังเพลงในยุคหนึ่งๆ ว่าเขาได้สื่อสารอะไรกับเพลงนั้นๆ
เพลงนี้เกิดขึ้นมาในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สังคมไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สองเรื่อยมาจนถึงกลางทศวรรษ 2510 เป็นช่วงเวลาของการขยายตัวของธุรกิจ และการขยายตัวของระบบราชการ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดความเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
กล่าวได้ว่า การขยายตัวของธุรกิจระดับต่างๆ ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม เพราะเป็นการเปิดพื้นที่การค้าขายเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่เคยมีการค้าขายมาก่อน การแข่งขันไม่มีหรือมีก็ไม่สูงมากนัก ปัญหาอย่างเดียวคือจะกระตุ้นให้คนที่ไม่เคยซื้อของหยิบเงินที่สะสมไว้มาซื้อของได้อย่างไร หากมองในภาพรวมจะเห็นว่าร้านขายของระดับต่างๆ เปิดขยายมากขึ้นมาก ตึกแบบห้องแถวที่สร้างขึ้นเพื่อค้าขายโดยเฉพาะสะพรั่งขึ้นราวกับดอกเห็ด
นอกเรื่องนิดหนึ่งนะครับ คือ ผมอยากรู้จริงๆ ว่าใครเป็นผู้เริ่มต้นออกแบบตึกแถวในช่วงเวลานั้น เพราะเป็นสถาปัตยกรรมที่ตั้งใจจะให้ผู้ซื้อ “ขูดรีด” ตนเองอย่างมาก ลองนึกถึงห้องน้ำ/ส้วมใต้บันไดดูนะครับ ทุกพื้นที่เก็บเอาไว้ให้แก่การค้าขายเป็นหลัก ความสะดวกสบายของการมีชีวิตอยู่นั้นถูกละเลยโดยสิ้นเชิง
สำหรับการค้าขายในต่างจังหวัด เซลส์แมนอาวุโสมักจะเล่าถึงความสนุกสนานของการค้าขายในช่วงเวลาดังกล่าว เพลงโฆษณาเริ่มกระจายกว้างขวางมากขึ้นหลัง พ.ศ. 2505 เมื่อเกิดการปฏิวัติ “ทรานซิสเตอร์” ขึ้นมา ทำให้วิทยุกลายเป็นสมบัติจำเป็นที่ทุกครัวเรือนจะต้องมีเอาไว้ฟังเรื่องราว (เพลง “ลูกทุ่ง” ก็เกิดขึ้นในราวพ.ศ. 2507 หลังจากการขยายตัวของวิทยุทรานซิสเตอร์)
พร้อมกันนั้น รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามก็ได้เริ่มคิดถึงการขยายตัวของระบบราชการ แต่เผอิญยังไม่ได้ทำและเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ตาย พ.ศ. 2506) จอมพลถนอม กิตติขจร ขึ้นมามีอำนาจ การขยายตัวของระบบราชการก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมาก หน่วยราชการต่างๆ ได้ขยายตัวอย่างมาก ซึ่งทำให้การเข้ารับราชการกลายเป็นเรื่องที่คนจำนวนมากใฝ่ฝันและสามารถที่จะเข้าสู่ระบบราชการได้จำนวนมากขึ้นมาก
การขยายตัวของหน่วยงานราชการเป็นการเปิด “พื้นที่ใหม่” ของเนื้องาน ซึ่งทำให้ข้าราชการจำนวนมากต้องลงแรงและกล่าวได้ว่าจะมองเห็นผลสำเร็จของงานที่ตนทำนั้นได้ชัดเจนกว่า ความรู้สึกภาคภูมิใจในการทำงานของตนจึงสูงมาก (ลองอ่านบันทึกประวัติผู้ตายในหนังสือแจกงานศพของข้าราชการผู้ใหญ่ที่โตมาในช่วงนี้ดูซิครับ)
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นยังส่งผลให้การแสวงหาความสำราญในชีวิตเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย การขยายตัวของคนกลุ่มใหม่ที่ทำงานด้านธุรกิจและราชการได้สร้าง “ชีวิตกลางคืน” แบบใหม่ขยายตัวมากขึ้น การกินข้าวนอกบ้านได้เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น พร้อมกันนั้น คลับกลางคืน (ไนท์คลับ) ก็เพิ่มขึ้นทั้งในเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่ ซึ่งส่งผลทำให้อาชีพนักร้อง/นักดนตรีสามารถมีที่ยืนได้กว้างขวางมากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมตามไปด้วย ในช่วงนี้ จะพบผู้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจและความก้าวหน้าในระบบราชการมากขึ้น (เพราะเดิมมีข้าราชการน้อย เมื่อมีตำแหน่งเพิ่มมากขึ้น คนก็สามารถก้าวขึ้นได้ง่ายกว่าปัจจุบัน) กล่าวได้ว่าหน้าต่างแห่งโอกาสที่ได้เปิดกว้างอย่างไม่เคยมีมาก่อน ได้ทำให้คนจำนวนมากที่มีชีวิตอยู่ในช่วงนี้สร้างระบบความรู้สึกชุดหนึ่งขึ้นมา ได้แก่ การเกิดสำนึกว่าความสำเร็จของตน/บุคคลนั้นเกิดขึ้นจากการกระทำของตนเองโดยแท้
ความรู้สึกสำนึกที่ถูกยุคสมัยสร้างขึ้นว่าเราต่างหากที่เป็นคนกำหนดชีวิตของเราไม่ใช่คนอื่นมากำหนดถูกกำกับไว้ด้วยว่าการกระทำนั้นต้อง "ดี" ซึ่งหากการกระทำนั้น "ดี" แล้วย่อมไม่ต้องเกรงกลัวอะไร แม้ “ฟ้า-ดิน” ก็ต้องคุ้มครอง สำนึกเชิงปัจเจกชนที่ผูกพันอยู่กับการกระทำเพื่อสังคม (Individual and Society) เป็นเสมือนความ “อหังการ” ของชนชั้นกลางรุ่นที่สองหลังจากที่ชนชั้นกลางกลุ่มแรกได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี พ.ศ. 2475
เพลง “เย้ยฟ้า ท้าดิน” จึงเป็นเพลงที่แสดงตัวตนของคนรุ่นหลังสงครามโลกต่อเนื่องมาถึงต้นทศวรรษของการพัฒนา อันเป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมในช่วงนั้น และอาจจะกล่าวได้ว่าคนรุ่นนั้นจำนวนไม่น้อยยึดถือเพลงนี้เป็นเสมือนเข็มทิศประจำใจเลยทีเดียว







