เสรีภาพทุกตารางนิ้วในสหรัฐอเมริกา

หลังจากที่สายลับ CIA ของอเมริกาอย่างนาย Edward Snowden ออกมาเปิดเผยตัวว่าตนเองเป็นผู้เปิดโปงข้อมูลลับสุดยอดของรัฐบาลสหรัฐฯ
เกี่ยวกับโครงการหนึ่งชื่อว่า โครงการ "PRISM" ซึ่งมีเป้าหมายในการติดตามข้อมูลการสื่อสารส่วนตัวของผู้ใช้สื่อทางอินเทอร์เน็ต ผ่านสื่อยอดนิยมอย่าง Facebook, Google, Yahoo! และ Apple เป็นต้น สร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลสหรัฐเป็นอย่างยิ่ง นาย Snowden ก็กลายเป็นบุคคลที่เป็นที่สนใจ และเป็นที่ต้องการตัวโดยรัฐบาลมากที่สุดก็ว่าได้ จนกระทั่งต้องหลบหนีเข้าออกประเทศต่างๆ เป็นว่าเล่น
ตามที่หนังสือพิมพ์ Washington Post รายงาน PRISM คือระบบที่สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Security Agency - NSA) ใช้ในการเข้าถึงข้อมูลการติดต่อสื่อสารของตัวของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านสื่อยอดนิยมดังที่ได้กล่าวข้างต้น โดยเป็นไปตาม พ.ร.บ. Foreign Intelligence Surveillance Act (FISA) ที่ออกในปี 2008 โดยประธาน NSA นายเจมส์ แคลพเพอร์ ได้ออกมายอมรับโดยปริยายเรื่องโครงการดังกล่าว ที่หลุดรั่วไหลออกมาผ่าน Power Point Presentation ที่จัดทำโดย Edward Snowden ที่ระบุไว้ว่าโครงการ Prism ช่วยให้รัฐบาลสามารถ "เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากเซิฟเวอร์ของ Microsoft, Yahoo, Google, Facebook และบริษัทสื่อออนไลน์อื่นๆ ได้"
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บรรดาผู้บริหารของสื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องข้างต้นพร้อมกันออกมาปฏิเสธ เป็นต้นว่า นายแลร์รี่ เพจ CEO ของ Google กล่าวว่า “คำกล่าวใดๆ ก็ตาม ที่กล่าวหาว่า Google กำลังเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้ใช้นั้นล้วนเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น” ขณะที่นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook ก็ออกปฏิเสธเช่นกัน โดยเขากล่าวว่า “เฟซบุ๊คไม่ และไม่เคยมีส่วนร่วมใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับโครงการที่อนุญาตให้รัฐบาลอเมริกา หรือรัฐบาลใดๆ เข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊คโดยตรงได้” ด้านนาย Steve Dowling โฆษกของบริษัท Apple ก็กล่าวเช่นกันว่า “เราไม่เคยได้ยินเรื่องโครงการ PRISM มาก่อนเลย และเราก็ไม่ได้อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐบาลใดๆ เข้าถึงข้อมูลเซิฟเวอร์ต่างๆ ของเราได้โดยตรง และถ้ามีหน่วยงานของรัฐที่ต้องการข้อมูลกับทางเรา ก็ต้องมีหมายศาลด้วย”
คำถามก็คือ บรรดาบริษัทสื่อออนไลน์เหล่านี้กำลังโกหกเราอยู่หรือเปล่า? มีหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า บริษัทเหล่านี้ต่างออกมาปฏิเสธตรงกันประเด็นหนึ่ง คือมิได้อนุญาตให้มี “การเข้าถึงโดยตรง” ต่อข้อมูลต่างๆ ในเซิฟเวอร์ จึงอาจเป็นไปได้ว่าบริษัทเหล่านี้อาจจะมีการให้หน่วยงานเข้าถึงข้อมูลเซิฟเวอร์ของบริษัทโดยผ่านสื่อกลางบางอย่าง อย่างไรก็ดี ข้อสันนิษฐานเหล่านี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการแถลงการณ์โดยบริษัทเหล่านี้มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ข้อปฏิเสธของพวกเขามีความรัดกุมมากขึ้น เช่น กูเกิลออกมาแถลงว่าทางกูเกิลเองให้ข้อมูลแก่รัฐบาลในกรณีที่เป็น “คำสั่งโดยเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับบุคคลหนึ่ง” เท่านั้น เป็นต้น
ด้านสื่อใหญ่อย่าง New York Times ก็ออกมาสรุปแถลงเกี่ยวกับโครงการ PRISM โดยอาศัยข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ว่า บรรดาบริษัทสื่อเหล่านี้มีระบบที่เกี่ยวข้องกับการให้อนุญาตเข้าถึงข้อมูลผ่านการขอที่ชอบธรรมโดย พ.ร.บ. FISA และมีในบางกรณีที่ข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งให้แก่รัฐบาลโดยผ่านระบบอิเลคโทรนิคส์ จากเซิฟเวอร์ของบริษัทเหล่านั้นเอง ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อรัฐบาลก็ต่อเมื่อนิติกรของบริษัทได้ทบทวนคำขอของรัฐบาล และอนุญาตให้มีการส่งผ่านข้อมูลได้เท่านั้น การส่งผ่านมิได้เป็นไปโดยอัตโนมัติแต่อย่างใด
ดังนั้น แล้วจึงสรุปได้ว่า PRISM เป็นโครงการที่เป็นการสร้างและใช้กระบวนการทางกฎหมายที่บังคับให้บรรดาบริษัทสื่อทางอินเทอร์เน็ตต่างๆ ทำตามข้อเรียกร้องของรัฐบาล Declan McCullagh กล่าวว่ามีแหล่งข่าวที่ไม่สามารถเปิดเผยได้แบ่งปันข้อมูลนี้แก่เขาไว้
ดังนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรต้องกังวลสำหรับบรรดาผู้ใช้สื่ออินเทอร์เน็ต เนื่องจากทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายทั้งสิ้น และรัฐบาลเองก็ไม่ได้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างเสรี แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ความสามารถของรัฐบาลในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ นั้นมีความลึก และความกว้างได้มากแค่ไหน และเป็นไปโดยชอบธรรมโดยกฎหมายอย่างแท้จริงหรือไม่ ยิ่งเมื่อมีการแก้ไข พ.ร.บ. FISA ครั้งที่ 4 โดยระบุว่าทางรัฐบาลเองไม่จำเป็นจะต้องแสดงให้เห็นสาเหตุที่เหมาะสมที่ทำให้เชื่อได้ว่าบุคคลที่รัฐบาลข้อข้อมูลนั้นได้กระทำความผิดจริง
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญก็คือ พ.ร.บ. FISA นั้นครอบคลุมเพียงแต่กิจกรรมออนไลน์ที่เกิดขึ้นโดยเป้าหมายที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกาเท่านั้น โดยในมาตรา 702 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ “มีเป้าหมายไปสู่บุคคลที่สามารถเชื่อได้ว่าอาศัยอยู่ภายนอกสหรัฐอเมริกา” ดังนั้น บรรดาผู้ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเองก็สามารถวางใจได้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม สิ่งนี้อาจถูกมองว่าเป็นการคุกคามประชาคมโลกของสหรัฐอเมริกาก็ได้ เนื่องจากไม่มีที่ใดที่จะปลอดภัยจากการถูกสอดแนมข้อมูลโดยรัฐบาลอเมริกา นอกจากในประเทศอเมริกาเอง
อย่างนั้นเท่ากับว่าสหรัฐอเมริกากำลังสร้าง และปกป้องความมั่นคงของประเทศตัวเองเพียงประเทศเดียว ใช้กระบวนการทางกฎหมายของตนเอง โดยส่งผลคุกคามต่อความมั่นคงของบุคคลต่างๆ ทั่วโลก ไปจนถึงสิทธิในข้อมูลส่วนตัว และเสรีภาพในการสื่อสารของประชาคมโลก อย่างนั้นหรือ?
กลายเป็นว่าประเทศผู้สนับสนุนให้ทั่วโลกมีสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค กลับกลายเป็นผู้ลิดรอนและปิดกั้นสิทธิ เสรีภาพ ของบรรดาบุคคลทั่วโลกที่ไม่ใช่ชนชาติสหรัฐฯ เองอีกแล้วหรือ?
หลายคนอาจจะชินชากับการกระทำเช่นนี้ของประเทศมหาอำนาจอเมริกาเสียแล้ว บ้างอาจจะรู้สึกระอาแก่ใจ อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่อาจจะช่วยบรรเทาความคลางแคลงใจก็คือความเข้มแข็งของสื่ออเมริกัน ที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการคานอำนาจของรัฐบาลสหรัฐได้เป็นอย่างดี







