การเมือง, ข้าราชการ กับหลักพื้นๆ ของ HR

การเมือง, ข้าราชการ กับหลักพื้นๆ ของ HR

ประเด็นเรื่องนักการเมืองกับข้าราชการที่ไม่ยอม “ก้มหัว” ให้เป็นตำนานเล่าขาน ในประวัติศาสตร์การเมืองมาช้านาน

บทเรียนสำหรับนักการเมืองที่คิดว่ามีอำนาจแล้วจะสั่งการอะไรก็ได้ และท้ายที่สุดก็เจอกับความจริงที่ว่าข้าราชการที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีความเป็นมืออาชีพ ไม่พร้อมจะ “ซูฮก” นักการเมืองนั้น จะเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม ขณะที่นักการเมืองที่ไม่คำนึงถึง “งาน” เอาแต่ “คนของฉัน” นั้น ก็จะต้องเผชิญกับคำถามที่ตอบไม่ได้เสมอ

ในทำนองเดียวกัน เราก็เห็นกรณีข้าราชการที่สามารถ “เปลี่ยนสี” ได้ เมื่อการเมืองเปลี่ยน เพียงเพื่อให้ตนเองอยู่ในตำแหน่ง พร้อมจะรับใช้ผลประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึง “ความรู้สึกนึกคิดของสังคม”

ผมยืนยันว่าสังคมไทยตัดสินเรื่องเหล่านี้ได้ชัดเจนเสมอ และนักการเมืองกับข้าราชการที่เข้าข่ายอันน่ารังเกียจนี้ ก็จะต้องเจอะเจอกับปฏิกิริยาของสังคม ไม่ว่าจะแสดงออกด้วยเสียงอันดัง หรือเก็บเงียบเอาไว้ เพราะไม่อยากจะพูดก็ตาม

นักการเมืองที่คิดว่าพอมีอำนาจแล้ว จะเอาใครมานั่งทำงานที่ไหนก็ได้นั้น ย่อมขัดกับหลักการข้าราชการ ที่จะต้องปรับเปลี่ยนโยกย้ายบนพื้นฐานของหลักคุณธรรม ยุติธรรมและมาตรฐานแห่งวิชาชีพ

หาไม่แล้ว คำว่า “ธรรมาภิบาล” และ “นิติรัฐ” (Good governance, rule of law) ก็คงไม่ได้เป็นมาตรฐานที่สากลถามหาจากทุกประเทศในยามนี้

กรณี คุณถวิล เปลี่ยนศรี ที่ศาลปกครองกลาง ให้ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นตัวอย่างล่าสุดของวิธีการโยกย้ายคนของนักการเมือง ที่เข้าข่ายไม่ปกติมาตั้งแต่ต้น

คำตัดสินของศาลปกครองน่าสนใจ ตรงที่เปรียบเทียบหน้าที่งานการระหว่าง “เลขาธิการ สมช.” กับ “ที่ปรึกษานายกฯ”

นายกฯ ได้แถลงก่อนหน้านี้ว่าการย้ายคุณถวิล ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ นั้น เป็นไปเพื่อ “ประสิทธิภาพในการทำงานตามนโยบายรัฐบาล เพราะว่านายถวิลเป็นผู้มีความรู้ความสามารถงานด้านความมั่นคง และต้องการให้มาเป็นที่ปรึกษานั้นขัดกับพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น...”

ที่ว่าขัดกับพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะ “โดยตำแหน่งเลขาธิการ สมช. มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบมากกว่า และสามารถเป็นที่ปรึกษานายกฯ โดยตำแหน่งอยู่แล้ว...” จึงสรุปว่าเป็นการแต่งตั้งโยกย้ายที่ “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

อีกทั้งการโยกย้ายครั้งนี้ก็ “ไม่เป็นไปตามขั้นตอนการรับโอนในการปฏิบัติหน้าที่ปกติ ที่ส่วนราชการฝ่ายรับโอนข้าราชการต้องเสนอต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาเห็นควรจะโอนข้าราชการให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงจะมีหนังสือขอความยินยอมการโอนไปยังหน่วยงานราชการต้นสังกัดที่ขอโอนมา...”

คำสั่ง นายกฯ ให้ย้ายคุณถวิล ไม่ได้บอกว่าทำงานไม่ได้หรือทำงานไม่เป็น หรือมีปัญหาในการทำงานอย่างไร แต่อ้างว่าเพราะเก่งเรื่องความมั่นคง จึงย้ายมาเป็นที่ปรึกษานายกฯ เสีย

อ่านคำวินิจฉัยของศาลก็เข้าใจได้ว่า ถ้าคุณถวิล เก่งเรื่องความมั่นคง อยู่ตำแหน่งเดิมก็ให้คำปรึกษานายกฯ เรื่องความมั่นคงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องย้ายไปเป็นที่ปรึกษา อีกทั้งการดำรงตำแหน่งเดิมก็ยังมีความรับผิดชอบมากกว่า
คุณถวิล อ้างว่า นี่เป็นการกลั่นแกล้งรังแก เพราะตนไม่ได้ทำอะไรผิด จึงบอกกล่าวไปยังเพื่อนๆ ข้าราชการ ว่า

“...จะเป็นบทเรียน เป็นกำลังใจให้กับคนที่ตามมาทีหลังว่าเขายังมีที่พึ่งอยู่ ถ้าโดนรังแก อย่าไปคุกเข่าแล้วร้องขอว่าอย่ารังแกผม มันไม่เกิดประโยชน์ ควรทำตามแนวทางที่มีอยู่ คือ ขอให้ต่อสู้ แพ้ชนะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้าราชการ อย่ากินเลือดกินเนื้อรังแกกันเอง ส่วนใหญ่ที่ฝ่ายการเมืองเข้ามารังแกข้าราชการประจำ ก็เพราะมีข้าราชการไปชี้ช่อง ก็เหมือนกับที่โจรขึ้นบ้าน ส่วนใหญ่ก็เพราะมีสายอยู่ข้างในบ้าน...” (ไทยโพสต์)

เรื่องนี้ยืดเยื้อแน่ เพราะว่า นายกฯ คงจะต้องอุทธรณ์ และ คุณถวิล ก็บอกว่าถ้า นายกฯ อุทธรณ์ ตนก็จะนำเรื่องไปที่ ป.ป.ช. ขณะที่มีเสียงตั้งคำถามว่าเมื่อมีความไม่แน่นอนในตำแหน่งเลขาธิการ สมช. อย่างนี้แล้ว การเจรจากับตัวแทนบีอาร์เอ็นที่กำลังง่อนแง่นอยู่ขณะนี้ ก็จะยิ่งยอบแยบลงไปอีก

ประเด็นเดียวกระเทือนไปหลายเรื่องทีเดียว

มองในแง่เอกชน นี่เป็นเรื่องบริหารบุคคล (HR) พื้นๆ เท่านั้นเอง เพียงแต่นักการเมืองไม่ค่อยจะเรียนรู้หลักการ “บริหารบุคคลเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด” เท่านั้นกระมัง