วิบากกรรมของรัฐธรรมนูญแห่งมหาจักรวรรดิญี่ปุ่น (1)

วิบากกรรมของรัฐธรรมนูญแห่งมหาจักรวรรดิญี่ปุ่น (1)

รัฐธรรมนูญแห่งมหาจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ประกาศในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1889 ปีเมจิที่ 22 และ มีผลบังคับใช้วันที่ 29 พฤศจิกายน 1890

การเลือกตั้งครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 1890 รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ว่าผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจะต้องเป็นผู้ที่ชำระภาษีให้แก่รัฐบาล ตั้งแต่ 15 เยนขึ้นไป ซึ่งในสมัยนั้นมีเฉพาะชาวนาซึ่งเป็นผู้เสียภาษีค่าเช่านาจำนวนประมาณ 5 แสนคน จำนวนดังกล่าวเพิ่มเป็น 1 ล้านคนในปี 1900 เมื่อมีการลดเงินเสียภาษีขั้นต่ำของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเป็น 10 เยน 1.5 ล้านคนในปี 1905 เนื่องจากมีการเก็บภาษีเพิ่มเป็นพิเศษ และ 3 ล้านคนในปี 1919 เมื่อลดลงเป็น 3 เยน ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้เพิ่มเป็น 12 ล้านคน เมื่อมีการให้สิทธิเลือกตั้งแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป เฉพาะเพศชายในปี 1925

ลักษณะที่สำคัญๆ ของรัฐธรรมนูญแห่งมหาจักรวรรดิญี่ปุ่น ได้แก่ มาตรา 11 ที่กำหนดให้ การบังคับบัญชากองทัพเป็นอำนาจอิสระโดยตรงของพระจักรพรรดิ มาตรา 39 ที่กำหนดให้ร่างพระ ราชบัญญัติใดๆ ที่ไม่ผ่านสภาหนึ่งสภาใดถือว่าตกไป ในสมัยนั้น สภาบนประกอบด้วยผู้นำแคว้นต่างๆ เดิมและขุนนางข้าราชการในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่วนสภาล่างประกอบด้วยชาวนาเจ้าของ ที่ดินเป็นส่วนใหญ่ การขึ้นภาษีที่นาย่อมไม่ผ่านสภาล่าง ส่วนการตัดลดงบประมาณรายจ่ายจะไม่ ผ่านสภาบน มาตรา 55 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจราชการแผ่นดินแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งทำให้รัฐมนตรีต่างๆ ปฏิเสธความรับผิดชอบในการประกาศสงคราม มาตรา 67 กำหนดให้งบประมาณแผ่นดินส่วนที่ใช้บริหารงานและการทหารไม่สามารถตัดลดลงได้

ในระหว่าง 3 ปีแรกของการใช้รัฐธรรมนูญ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเผชิญหน้ากันระหว่างรัฐบาลกับสภาล่าง สภาล่างพยายามตัดลดงบประมาณซึ่งเป็นข้อห้ามตามมาตรา 67 แต่รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญไม่มีบทลงโทษ จึงทำได้แต่เพียงยุบสภาเลือกตั้งใหม่หลายครั้งจนกระทั่งรัฐบาลต้องถวายฎีกาต่อพระจักรพรรดิในปี 1893 พระจักรพรรดิมีพระบรมราชวินิจฉัยไกล่เกลี่ยในเวลาต่อมาว่าขอให้สภาล่างคงงบประมาณ แต่ให้ตัดงบประมาณสำนักพระราชวังลง 10% ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือ อิโต ฮิโรบุมิ

ยิยูโต ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น ริคเคนเซอิยูไค ส่วนพรรคใหญ่อีกพรรคหนึ่งคือ ชิมโปะโต ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น ริคเคนมินเซอิโต ทั้งสองพรรคต่างเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกแคว้นเดิมตั้งแต่ภายหลังสงครามจีน-ญี่ปุ่น ยิยูโต มี อิโต ฮิโรบุมิ ซึ่งกลายมาเป็นหัวหน้าพรรคในปี 1900 ส่วนชิมโปะโต มี ยามางาตะ อาริโทโม เสนาธิการทหาร ทั้งคู่เป็นนักรบของแคว้นโจชูที่มีอายุไล่เลี่ยกัน หลังจากนั้น ยิยูโตเริ่มมีแนวคิดที่จะทำให้ประชาชนเห็นด้วยกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแทนการลดภาษีที่นา พฤติกรรมเช่นนี้น่าสงสัยมากว่าน่าจะเป็นแนวคิดของฝ่ายทหารที่พยายามเข้ามาแก้ไขอุปสรรคการจัดทำงบประมาณ ซึ่งก็เป็นอุปสรรคต่อแผนงานของทหารด้วย

ปี 1895 ญี่ปุ่นทำสงครามทางเรือมีชัยชนะต่อจีนได้ค่าปฏิกรรมสงครามมา 330 ล้านเยน แต่กองทัพญี่ปุ่นได้ทำแผนงานใช้เงินค่าปฏิกรรมสงคราม เพื่อขยายกองทัพและการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จนเกือบหมด ทั้งยังได้ของบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายประจำที่เกิดขึ้นเป็นการต่างหาก อีกทั้งยังได้จัดทำนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดถึง 400 ล้านเยนอีกด้วย ซึ่งสามารถจัดหามาได้ด้วยการออกพันธบัตร แต่ส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำจะต้องขึ้นภาษีถึง 60% ซึ่งทำให้พรรคการเมืองที่มีผู้แทนมาจากชาวนาไม่พอใจเป็นอย่างมาก ยิยูโตและชิมโปะโตจึงจับมือกันคว่ำร่างพระราชบัญญัติขึ้นภาษีที่นาและยังได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองเป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อ พรรคเคนเซอิโต โอคุมะ ชิเงะโนบุ เป็นนายกรัฐมนตรีและ อิตะงากิ ไทสุเกะ เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย แต่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจอะไร เพราะว่าเป็นสิ่งที่ อิโต ฮิโรบุมิ จัดให้โดยปรึกษากับคณะที่ปรึกษาของพระจักรพรรดิ ในที่สุดภาษีที่นามีการประนีประนอมกันให้เพิ่มเพียง 32.2% และจำกัดเพียง 5 ปี ภายใต้รัฐบาลของ ยามางาตะ อาริโทโม หลังจากนั้น อิโต ฮิโรบุมิ ก็กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งยิยูโตและชิมโปะโต ต่างอยู่ภายใต้อิทธิพลของขุนนาง ขุนศึกแคว้นโจชู อิโตฝ่ายหนึ่ง และ ซันเคนอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งสองพรรคกลับมาแตกแยกใหม่ในปี 1898

ปี 1900 ยิยูโตได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “ริคเคนเซอิยูไค” อย่างเป็นทางการโดยมี อิโตฮิโรบุมิ เป็นหัวหน้าพรรค โดยที่เขายังเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ฝ่ายในด้วย เซอิยูไคได้กำหนดนโยบายตามแนวคิดของ โฮชิ โทโอรุ ในการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นที่ล้าหลัง เนื่องจากถูกทอดทิ้งด้วยอคติ จากรัฐบาลที่ว่าเป็นที่พักพิงของโชกุนคนสุดท้ายโยชิโนบุ ทั้งนี้เพื่อหวังคะแนนเสียงจากจังหวัดบริเวณ นั้นที่มีประชาชนจำนวนมาก โครงการที่สำคัญๆ ได้แก่ ท่าเรือ ทางรถไฟ และ มหาวิทยาลัยโตโฮกุ

ปี 1904 -1905 ญี่ปุ่นรบกับรัสเซียเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ในที่สุดญี่ปุ่นจำใจต้องทำสัญญาสงบศึกกับรัสเซียโดยไม่ได้ค่าปฏิกรรมสงครามแม้แต่สตางค์แดงเดียว ทั้งๆ ที่ได้ใช้เงินทำสงครามไปถึง 1,700 ล้านเยน ซึ่งถ้าหากไม่เลิกจริงๆ ก็ทำให้ล้มละลายได้ รัฐบาลมีหนี้สินจำนวนมากจึงต้องขึ้นภาษีที่นาเป็นกรณีพิเศษรวมเป็นเงิน 38 ล้านเยน และยังขึ้นภาษี การค้าและภาษีเงินได้อีก 25 ล้านเยน ประชาชนโดยทั่วไปโดยเฉพาะผู้ยากจนยังต้องถูกเกณฑ์ไปเป็น ทหารด้วย ทั้งหมดนี้นำไปสู่การล่มสลายของคะแนนเสียงเซอิยูไค

ปี 1908 ไซออนยิ คินโมจิ นายกรัฐมนตรีจาก เซอิยูไค ดำเนินการโอนรถไฟมาเป็นของรัฐ ทำให้สามารถสร้างทางรถไฟสายใหม่ๆ ที่อาจไม่คุ้มทุนเพื่อเอาใจประชาชนได้ อีกทั้งราคาข้าวก็พุ่งสูง ขึ้นจากสงครามจนภาษีที่นาที่เพิ่มเป็น 2 เท่า เหลือเพิ่มไม่เกิน 1.2 เท่า พรรคนี้จึงชนะการเลือกตั้งในปี 1908 และ 1912 อย่างเด็ดขาดทั้งสองครั้ง อย่างไรก็ดี ประชาชนเริ่มไม่พอใจเซอิยูไค หลายประการ ได้แก่ อิทธิพลของแคว้นเดิมต่อพรรครัฐบาล ราคาข้าวเริ่มตกอีกครั้งในปี 1909 -1910 และที่สำคัญ การขยายกองทัพและจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ครั้งใหม่อย่างขนานใหญ่ กองทัพบกเพิ่ม 8 กองพล และ กองทัพเรือสั่งต่อเรือรบขนาดใหญ่ใหม่จากยุโรปถึง 16 ลำ โดยมีศัตรูในใจอยู่ที่รัสเซียและจีน ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นก็เพิ่งรบชนะมาหยกๆ เจ้าของแนวคิดยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศแห่งจักรวรรดิก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลคือ ยามางาตะ อาริโทโม นั่นเอง ดังนั้น หนี้สินรัฐบาลที่ท่วมท้นในขณะนั้นจึงมีผลมาจากนโยบาย รัฐบาลของ เซอิยูไคโดยแท้

ปี 1914 เกิดเหตุการณ์กรณีกองทัพเรือรับสินบนจากบริษัท วิคเคอส์ของอังกฤษ ในการสั่งต่อ เรือรบ พรรคฝ่ายค้านจึงทำฎีกาถายพระจักรพรรดิเพื่อขอปลดคณะรัฐมนตรีผ่านทางสภา แต่ด้วย เสียงในสภาที่มากกว่าของเซอิยูไคที่เป็นพรรครัฐบาลในสภา ฎีกาดังกล่าวจึงตกไป อีกทั้งกระทรวง มหาดไทยยังใช้กำลังสลายฝูงชนที่ชุมนุมประท้วงด้วย อย่างไรก็ดี คราวนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่มีสภามาที่สภาสูงเป็นฝ่ายตีร่างพระราชบัญญัติงบประมาณของรัฐบาลให้ตกไป ทำให้รัฐบาลต้องลาออกทั้งคณะ คณะที่ปรึกษาขุนนางอาวุโสของพระจักรพรรดิมีมติให้ โอโอคุมะ ชิเงะโนบุ เป็นนายกรัฐมนตรีจัดตั้งรัฐบาลใหม่

ในขณะนั้น โยชิโน ซาคุโซ ศาสตราจารย์ทางกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว เพิ่งกลับจาก อังกฤษ หลังจากที่ได้ไปศึกษาและสังเกตการณ์ระบบการเมืองของประเทศต่างๆ ในยุโรป มีแนวคิดว่า ญี่ปุ่นควรจะมี 2 พรรคใหญ่เหมือนอังกฤษและการเลือกตั้งควรจะเป็นสิทธิของประชาชนโดยทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะผู้เสียภาษี การเมือง 2 พรรคใหญ่เป็นความจริงภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1915 ริคเคนโดชิไค ผู้แทนอิสระ และ จูโชไค รวมกันมี 244 เสียงจากทั้งหมด 381 ที่นั่ง เป็นพรรครัฐบาล และเซอิยูไค กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านโดยทันที

ปี 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น สัญญาที่จะลดภาษีการค้าถูกยกเลิก การขยายกองทัพ เริ่มเป็นที่ยอมรับ แต่นโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเซอิยูไคยังคงหยุดไว้ ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นได้รับผลดีจากการส่งออกไปยุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากสงคราม อีกทั้งพืชผลต่างๆ ก็มีราคาสูงขึ้นจนเป็นที่พอใจ ทั้งหมดนี้เป็นผลดีแก่เซอิยูไค ในปี 1916 ซันเคน อาริโทโม ซึ่งเป็นที่ปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง จึงบีบให้โอโอคุมะลาออก และนำเอา เทราอุจิ มาซาทาเกะ ผู้ว่าราชการอาณานิคมโชซอนมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ทั้งๆ ที่มีเสียงเซอิยูไคในสภาล่างมีไม่ถึงครึ่งหนึ่ง

ปี 1918 ฮารา ทาคาชิ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินนโยบายการขยายกองทัพและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนานใหญ่ ด้วยเงิน 1,350 ล้านเยน และ 510 ล้านเยนตามลำดับ เคนเซอิโตกับพรรคฝ่ายค้านอื่นเสนอร่างพระราชบัญญัติให้สิทธิเลือกตั้งแก่ประชาชนทั่วไป แต่ถูกฝ่ายรัฐบาลตีตกไป ฮาราถือโอกาสยุบสภาเลือกตั้งใหม่ในปี 1920 โดยอ้างเหตุผลดังกล่าว แต่ที่จริงแล้ว ฮาราทราบดีว่า คะแนนเสียงพรรครัฐบาลกำลังได้เปรียบด้วยนโยบายประชานิยมขนาดหนัก อีกทั้ง เศรษฐกิจก็ดีจากภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 เซอิยูไคจึงชนะถล่มทลายได้ที่นั่ง 60% ของสภาล่าง ในขณะที่ เคนเซอิโต พรรคฝ่ายค้าน ได้เพียง 21% เท่านั้น แต่ฮาราก็มาถูกลอบสังหารในปี 1921

ทาคาฮาชิ โคเรคิโย รัฐมนตรีคลังในรัฐบาลฮารา เป็นหัวหน้าพรรคคนต่อมา แต่ด้วยคณะที่ปรึกษาอาวุโสของพระจักรพรรดิไม่ปลื้ม จึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงสั้นๆ และให้บุคคลภายนอก พรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาลแทน รวม 3 คนด้วยกัน

ปี 1923 เกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงแถบคันโต (โตเกียว) ในปี 1924 เกิดความแตกแยกภายในเซอิยูไค เซอิยูไคส่วนที่เหลือ เคนเซอิไค กับ คะขุชินคุราบุ จับมือกันตั้งรัฐบาลด้วยเสียง 285 จาก 464 ที่นั่ง ทั้งนี้เพื่อกีดกันไม่ให้ประธานองคมนตรีมาเป็นนายกรัฐมนตรี เรียกกันว่า โกะเคนซัมปะ หรือ “สามพรรคพิทักษ์รัฐธรรมนูญ”

ปี 1925 ระบบการเลือกตั้งทั่วไป (เฉพาะเพศชาย) เกิดขึ้น เคนเซอิไคได้จัดตั้งรัฐบาล เท่าที่ ผ่านมา นโยบายภายในประเทศของเคนเซอิไคส่งเสริมประชาธิปไตย แต่นโยบายภายนอกประเทศ ของเซยูอิไคใช้นโยบายไม่รุกราน อันเป็นส่วนผสมที่ดีไม่ให้ญี่ปุ่นมีทิศทางสุดขั้วไปด้านใดด้านหนึ่ง


ความย่อตอนต่อไป

ลักษณะของการเมืองตั้งแต่ปี 1927 จนถึงการผ่านแพ้สงครามของญี่ปุ่นเริ่มสะท้อนอิทธิพลของฝ่ายทหารที่มีต่อรัฐบาลที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายทางทหารในประเทศจีน แม้กระนั้นฝ่ายทหารก็ยังไม่พอใจรัฐบาลจนเกิดการปฏิวัติของทหารเรือในปี 1932 และทหารบกในปี 1936 ความแตกแยกของทุกภาคส่วนในสังคมทำให้ฝ่ายทหารสามารถยึดกุมสถานการณ์ได้เบ็ดเสร็จมากขึ้นจนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มรูปแบบ

การวิเคราะห์เหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญจนถึงการพ่ายแพ้สงครามมีจุดสำคัญอยู่ที่อิทธิพลของนักรบแคว้นต่างๆ ในสมัยโทกุงาวา ซึ่งครอบงำข้าราชการในพระองค์ของพระจักรพรรดิและกองทัพ จนกระทั่งถึงสังคมการเมืองที่อ่อนแอ


ที่มา: สรุปประเด็นจาก 坂野潤治、日本近代史、ちくま新書、二〇一二年