ผู้ไม่รับสินบนจากพระอินทร์

เรื่องผู้ไม่รับสินบนจากพระอินทร์ อยู่ในคัมภีร์อรรถกถา อุทาน อฏฐกถา เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล เป็นเรื่องของนายสุปปพุทธะ ซึ่งมีอาชีพเป็นขอทาน
และเป็นโรคเรื้อน วันหนึ่งได้ฟังธรรมจากสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยนั่งฟังอยู่ห่างจากผู้คนเนื่องจากรู้ว่าเป็นที่รังเกียจของคนทั้งหลาย ฟังธรรมแล้วได้บรรลุโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
เมื่อพิจารณาว่าตนได้ถึงธรรมแล้ว นายสุปปพุทธะซึ่งบัดนี้เป็นพระแล้ว (พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจะบวชหรือไม่บวช พระพุทธองค์ก็ทรงเรียกพระสงฆ์ทั้งสิ้น ส่วนพระที่บวชแล้วแต่ยังไม่บรรลุธรรมขั้นใดก็เรียกสุมมติสงฆ์ พระอริยเจ้าที่ครองเรือนได้อยู่คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี และพระอนาคามี) อยากกราบทูลพระบรมศาสดาให้ทรงทราบ แต่คนยังมากอยู่ก็ไม่กล้าด้วยเห็นว่าตัวเองเป็นโรคร้ายจึงหลีกไปก่อน แล้วจะย้อนกลับคืนมาภายหลังเมื่อคนทั้งหลายกลับไปแล้ว
ขณะที่สุปปพุทธะกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอินทร์ต้องการทดสอบกำลังใจว่าสุปปพุทธะจะมั่นคงจริงหรือไม่เพียงใด จึงมาปรากฏกายลอยอยู่ในอากาศต่อหน้าสุปปพุทธะ ประกาศตนว่าเป็นพระอินทร์ ขอให้สุปปพุทธะกล่าวว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีจริง ถ้าหากสุปปพุทธะพูดก็จะบันดาลให้หายจากโรคร้าย และยังจะเสกสมบัติให้เป็นเศรษฐี แม้จะพูดโดยไม่เชื่อตามที่พูดก็ได้
สุปปพุทธะขอทานขี้เรื้อน ซึ่งบัดนี้เป็นพระโสดาบัน มั่นคงในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ยอมกล่าวตามที่พระอินทร์ต้องการให้กล่าว ทั้งยังต่อว่าพระอินทร์เสียอีกว่าให้กล่าวคำอันไม่สมควร ยังกล่าวว่า สิ่งที่พระอินทร์นำมาล่อใจนั้นไม่มีค่าอะไรเลย เพราะตนมีอริยสมบัติอันมีค่าประมาณมิได้อยู่แล้ว
สรุปว่า สุปปพุทธะไม่สนใจสินบนคือการหายจากโรคร้ายและสมบัติเศรษฐีที่พระอินทร์จะเสกให้ นี่ย่อมสะท้อนถึงความซื่อสัตย์ต่อความจริงที่สุปปพุทธะยึดมั่น ไม่พูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั่นคือมีศีลนั่นเอง
สุปปพุทธะแม้เป็นชายขอทานและเป็นโรคเรื้อน แต่ได้รักษาสัจจะความจริงทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่สนใจอามิสสินจ้างใดๆ
เมื่อหลายวันที่ผ่านมา มีข่าวปรากฏตามสื่อเรื่องคลิปวีดิโอที่ชาวบ้านถ่ายตำรวจจราจรสถานตำรวจนครบาลแห่งหนึ่ง ได้เรียกรับผลประโยชน์จากคนใช้รถใช้ถนนที่ทำผิดกฎจราจร (หรือบางรายอาจจะถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎจราจร) โดยไม่ออกใบสั่งตามระเบียบของทางราชการ มูลค่าเงินที่เรียกเก็บได้นั้นคงเป็นจำนวนมากพอสมควร เพราะมีการเรียกเก็บหลายราย ซึ่งผู้ขับขี่รถก็ยอมจ่ายให้โดยดี
กรณีนี้ หากพิจารณาตามความเป็นจริง ก็กล่าวได้ว่าทั้งตำรวจจราจรและผู้ขับขี่รถก็กระทำผิดด้วยกันทั้งสองฝ่าย หากตำรวจเรียกรับแต่ผู้ขับขี่รถไม่ยอมจ่ายให้ แต่ยินดีรับใบสั่งเพื่อไปเสียค่าปรับที่สถานีตำรวจ การเรียกรับเงินของตำรวจก็ไม่สำเร็จ
การกระทำดังกล่าวนี้ย่อมเข้าข่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือการคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรงของสังคมไทย ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนคนไทยทุกคนที่จะต้องร่วมมือกันป้องกันและแก้ไข ดังเช่นผู้ขับขี่รถในกรณีที่กล่าวมานี้ สามารถที่จะกระทำได้โดยการยินดีไปจ่ายเงินค่าปรับที่สถานีตำรวจ อาจเสียเวลาไปหลายชั่วโมงและเสียค่าน้ำมันรถเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นการป้องกันแก้ไขปัญหาได้ หากยินยอมจ่ายเงินให้ตำรวจก็เท่ากับว่าตนได้ส่งเสริมสนับสนุนมีส่วนในการคอร์รัปชันนั้นด้วย
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากคิดต่อไปว่า ถ้าตำรวจนายนั้นเติบใหญ่ในหน้าที่การงาน ได้เป็นผู้มีอำนาจ (ซึ่งปรากฏมีอยู่เสมอว่า ข้าราชการชั้นผู้น้อย กลายเป็นนักการเมืองผู้มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต) ก็ย่อมมีโอกาสที่จะเรียกรับผลประโยชน์ที่มากมายมหาศาลยิ่งขึ้น และในทางเดียวกัน หากผู้จ่ายเงินให้ตำรวจเพื่อตนจะได้ไม่ต้องไปจ่ายค่าปรับที่สถานีตำรวจ เรียกว่าเป็นการซื้อความสะดวก เมื่อมีโอกาสเติบใหญ่ เช่น เป็นเจ้าของกิจการ เป็นผู้รับเหมา เป็นคู่ค้ากับราชการ ก็ย่อมจะมีโอกาสที่จะจ่ายสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของตน เป็นการคอร์รัปชันที่ใหญ่ขึ้น ก่อความเสียหายมากยิ่งขึ้น
ท่านที่ได้อ่านบทความนี้ที่ห่วงใยบ้านเมือง ไม่ปรารถนาจะให้มีการคอร์รัปชันฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นมากกว่านี้ และต้องการมีส่วนในการแก้ไขปัญหา ก็ขอท่านได้ปฏิบัติตนเช่นเดียวกับสุปปพุทธะชายขอทานโรคเรื้อน ที่ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง และสอนบุตรหลานคนใกล้ชิดให้ปฏิบัติด้วยกัน
ดังนั้น การไม่ให้สินบนและการปฏิเสธสินบนก็ต้องเริ่มต้นจากตัวเราก่อนเป็นดีที่สุดเหมือนสุปปพุทธะทำเป็นตัวอย่างไว้ครับ







