ความคืบหน้ากรณีการใช้สาร Bisphenol A หรือ BPA ในสหภาพยุโรป

ประมาณ 2 - 3 ปีก่อนเราคงได้ยินข่าวเกี่ยวกับสาร Bisphenol A หรือ BPA ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์พลาสติกของอาหาร
เช่น ขวดน้ำ ขวดนมเด็ก และพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนตที่ใช้ผลิตภาชนะกระป๋อง ซีดี เป็นต้น โดยประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหรืออียูบางประเทศได้แจ้งความกังวลแก่คณะกรรมาธิการยุโรปถึงอันตรายที่ BPA อาจมีต่อสุขภาพมนุษย์มาระยะหนึ่งแล้ว จนนำไปสู่การเริ่มการแบนหรือระงับการใช้สารดังกล่าวทั้งในระดับอียูและในประเทศสมาชิกอียูบางประเทศ
อันตรายสำคัญของสารชนิดนี้คือการนำมาใช้ในกระบวนการผลิตขวดนมทารก ซึ่งผลงานวิจัยต่างๆ พบว่า ในช่วงหกเดือนแรกนั้น ทารกยังไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานและสามารถได้รับสารเคมีโดยตรงจากการสัมผัสกับสารนี้ผ่านการรับประทานนมจากขวดนมที่มีสาร BPA ดังนั้น จึงมีความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะลดความเสี่ยงของกลุ่มประชากรอ่อนไหว เช่น ทารก รวมถึงเด็กเล็กและสตรีมีครรภ์ ที่จะได้รับสาร BPA จนในที่สุดนำไปสู่การห้ามวางจำหน่ายขวดนมทารกที่ใช้พลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนตในอียูแล้ว
สาร BPA เป็นหนึ่งในสารที่มีความเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากที่สุด โดยอันตรายที่มองไม่เห็นของสาร BPA เป็นเพราะสารนี้ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบฉับพลันเหมือนสารเคมีร้ายแรงอื่นๆ นอกจากนี้ แม้ว่าสาร BPA เป็นสารที่ร่างกายสามารถกำจัดได้เองถ้าได้รับในปริมาณที่ไม่มากนัก แต่ในระยะยาวก็มีผลงานวิจัยจากองค์กรอาหารและยา เช่น สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา หรือ FDA ที่เชื่อมโยง BPA กับความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงต่างๆ อาทิ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็งเต้านมและต่อมลูกหมาก รวมถึงผลกระทบต่อระบบประสาทของมนุษย์
การวิจัยหลายชิ้นในยุโรปพบว่า สัตว์ทดลองที่ได้กินนมจากภาชนะที่ทำจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนตอย่างต่อเนื่องได้รับผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ และจากผลการวิจัยกับคนพบว่า อาจส่งผลต่อการพัฒนาระบบประสาทและพฤติกรรมของทารกและเด็กเล็ก รวมไปถึงการพัฒนาระบบสืบพันธุ์ ทั้งนี้ สาร BPA สามารถรั่วซึมจากผลิตภัณฑ์เมื่อถูกความร้อน เพราะฉะนั้นการใช้ภาชนะใส่อาหารที่เป็นพลาสติกโพลีคาร์บอนเนตอุ่นอาหารก็ทำให้มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสกับสาร BPA โดยเฉพาะทารกที่ใช้ขวดนมที่มีสารดังกล่าวปนเปื้อน
เมื่อเดือนมีนาคม 2553 ประเทศเดนมาร์กได้ห้ามใช้สาร BPA ในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เกี่ยวกับอาหารสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีเป็นการชั่วคราว ประเทศสวีเดนก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณายกเลิกการใช้สาร BPA ในผลิตภัณฑ์อย่างถาวร ส่วนเบลเยียมก็ออกกฎหมายห้ามวางจำหน่ายและผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารที่มีสาร BPA สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี โดยเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2556
ล่าสุดฝรั่งเศสได้ออกกฎหมายห้ามไม่ให้ใช้สาร BPA ในภาชนะบรรจุอาหารทุกประเภทโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป จากเดิมที่เพียงแต่ห้ามนำเข้า ส่งออก ผลิตและจำหน่ายขวดนมทารกที่มีสาร BPA และในช่วงที่รอกฎหมายมีผลใช้บังคับ ภาชนะที่มีสาร BPA ก็จะต้องมีการติดฉลากคำเตือนสำหรับผู้ใช้ โดยเฉพาะสตรีมีครรภ์และเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี
ส่วนประเทศไทยก็มีความพยายามที่จะยกเลิกการใช้สาร BPA ในการผลิตพลาสติก โดยเฉพาะขวดนมทารก แต่ก็ดูเหมือนยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง โดยสาร BPA ถูกห้ามใช้แค่สินค้าเครื่องสำอาง แต่ยังมีข่าวว่า มีขวดนมที่ผลิตจากโพลีคาร์บอเนตวางจำหน่ายในท้องตลาดมากกว่า 80 % และการสุ่มตรวจก็มักพบว่า มีสาร BPA ปนเปื้อนในน้ำนมที่ใช้ขวดนมดังกล่าว
คณะกรรมาธิการยุโรปและหน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งยุโรปหรือ European Food Safety Authority (EFSA) ชี้ว่า สารดังกล่าวไม่เป็นอันตรายถ้าบริโภคต่อวันในระดับที่เหมาะสมกล่าวคือ 0.05 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม แต่ขณะนี้กำลังประเมินความเสี่ยงและทบทวนการกำหนดค่ามาตรฐานปนเปื้อนของสาร BPA ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม ศกนี้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2556 หน่วยงานความปลอดภัย EFSA ได้ประกาศจะจัดการหารือสาธารณะ หรือ Public Consultation ในเดือนกรกฎาคม 2556 เพื่อรับฟังความเห็นและนำไปต่อยอดด้วยการยกร่างความเห็นเรื่องความเสี่ยงของสาร BPA ต่อสุขภาพประชาชน ผ่านการใช้เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่สัมผัสอาหาร (A draft scientific opinion on the possible risk to public health of bisphenol A (BPA), a substance used in food contact materials) และอาจเข้าไปสู่การพิจารณาของคณะมนตรีแห่งอียูในเดือนพฤศจิกายน 2556 ในที่สุด
การตื่นตัวของอียู รวมทั้งผู้บริโภคต่อสาร BPA ส่อให้เห็นแววที่อียูจะเพิ่มความเข้มงวดกับผลิตภัณฑ์และภาชนะต่างๆ รวมไปถึงการลดค่ามาตรฐานการปนเปื้อนให้น้อยลงอีก ซึ่งนอกจากภาชนะใส่อาหารแล้วอียูยังมีความกังวลเกี่ยวกับการปนเปื้อนของสาร BPA ในของเล่นเด็กและเครื่องมือแพทย์ โดยเฉพาะในคอนแทคเลนส์และอุปกรณ์ทันตกรรม ซึ่งเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เพราะกระแสต่อต้านสาร BPA ย่อมจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทยในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอียู ผู้ประกอบการจึงต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะทำให้ไทยเสียตลาดส่งออกก็เป็นได้
(ดูรายละเอียดกฎหมายอียูเรื่อง BPA เพิ่มเติมได้ที่ http://eur-lex.europa.eu/LexUriServ/LexUriServ.do?uri=OJ:L:2011:026:0011:0014:EN:PDF)







