ความรู้นอกตำรา

ความรู้นอกตำรา

แม้เราจะอยู่ในสังคมที่อาศัยปริญญาเป็น “ใบเบิกทาง” มานาน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราเห็นตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นจำนวนมาก

ที่ไม่มีวุฒิการศึกษาใดๆ อาศัยเพียงประสบการณ์ชีวิตเท่านั้น ตัวอย่างที่คนไทยรู้จักกันดีก็เช่น บิล เกตส์แห่งไมโครซอฟท์ และสตีฟ จ็อบส์แห่งแอ๊ปเปิ้ล รวมถึงเจ้าสัวในไทยอีกหลายๆ คน

แต่ท้ายสุดเราก็ยังดิ้นรนหาความสำเร็จอยู่ในกรอบด้วยการทุ่มเทให้ลูกหลานตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่เพื่อหวังเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาชั้นนำ จนหลายๆ คนแทบจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ตามแนวทางที่ตัวเองชอบนอกจากต้องเรียนในวิชาที่หลักที่ใช้สอบเข้าเท่านั้น

การเรียนรู้ในบ้านเราส่วนใหญ่จึงเป็นการศึกษาแบบสำเร็จรูปที่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพมากนัก การเรียนส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อตอบโจทย์ทางวิชาการเพื่อหวังให้สอบได้คะแนนสูงๆ เพื่อเป็นใบผ่านทางชั้นดีในอนาคต

ปัญหาใหญ่จึงตกอยู่กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มักจะได้เด็กที่เก่งแต่วิชาการ แต่ขาดคิดวิเคราะห์เพื่อประยุกต์ใช้กับหน้าที่การงานในโลกความเป็นจริง จึงเป็นโจทย์ให้ครูอาจารย์ต้องขบคิดว่าจะพัฒนาพวกเขาอย่างไรให้มีความพร้อมสูงสุดเมื่อสำเร็จการศึกษา

แนวทางเบื้องต้นที่น่าจะส่งเสริมเขาได้ต้องอาศัยการให้ความรู้ที่หลากหลาย และกระตุ้นให้เขากระหายความรู้ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความคิดที่เป็นโครงสร้างชัดเจน และมีตรรกะความคิดที่สมบูรณ์มากกว่าการยัดเยียดความรู้ในตำราอย่างเดียว ซึ่งการจะทำได้ต้องเปิดโอกาสให้เขาได้สังเกต ได้เลือกสาระความรู้ที่ต้องการด้วยตัวเอง

เมื่อมีความอยากรู้อยากเห็น และมีความรู้ที่ครอบคลุมความสนใจของเขาก็จะส่งเสริมให้เขาเรียนรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และต่อยอดไปสู่ภูมิปัญญาและวิสัยทัศน์ของตัวเองได้ ซึ่ง 2 สิ่งนี้จะช่วยป้องกันความล้มเหลว หากเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นขององค์กร สังคม หรือประเทศในอนาคต

สำหรับ “วิสัยทัศน์” ที่อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเด็กรุ่นใหม่ เพราะไม่ใช่สิ่งที่สอนได้ง่ายๆ ในชั้นเรียน แต่เราสามารถอาศัยประสบการณ์มากระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ เพราะการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงถือเป็นธรรมชาติของคนเราอยู่แล้ว

ข้อต่อมาคือการสร้างประสบการณ์ที่เอื้อให้เขาเปิดรับการเรียนรู้ได้ดียิ่งๆ ขึ้น เพราะกายวิภาคของสมองมนุษย์ทุกวันนี้ก้าวหน้าจนถึงขั้นที่เราเห็นแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมจากรุ่นสู่รุ่นนั้นกระตุ้นให้ร่างกายปรับเปลี่ยนดีเอ็นเอให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้

เช่นเดียวกับพฤติกรรมการแสดงของคนเราในวันนี้ที่สะท้อนไปถึงการเลี้ยงดูในวัยเด็ก ซึ่งเราจะเห็นเป็นประจำจากข่าวอาชญากรรมทั้งหลายที่ฆาตกรส่วนมากมักจะมีชีวิตในวัยเด็กที่ขมขื่นจากการถูกทำร้ายหรือถูกลงโทษอย่างรุนแรงมาก่อน

เด็กที่มีปัญหามาก่อนเมื่อเติบโตขึ้นจึงกลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะจุดชนวนขึ้นเมื่อไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล หวาดระแวง โมโหร้าย ไปจนถึงอาฆาตแค้นสังคมและผู้คนรอบข้าง เพราะคิดไปเองว่าสังคมไม่ให้โอกาสเขา ซึ่งล้วนมาจากอาการทางสมองที่ต้องการการรักษา


(อ่านต่ออังคารหน้า)