CONTRACT FARMING = เกษตรข้อตกลง

CONTRACT FARMING = เกษตรข้อตกลง

มีโอกาสได้พบผู้อาวุโส วัยร่วม 80 ปีที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเชิงเศรษฐศาสตร์เกษตรอย่าง ศ.ดร.โสภิณ ทองปาน คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

ซึ่งได้กรุณาให้ความรู้เกี่ยวกับ CONTRACT FARM ที่อาจมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปบ้างในสังคมไทย จึงขอนำความรู้บางส่วนมาแบ่งปันเป็นวิทยาทาน

ดร.โสภิน เริ่มต้นด้วยการให้คำจำกัดความว่า CONTRACT FARMING เป็นคำที่รู้จักกันมานานและแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา เป็นการขยายขนาดธุรกิจแบบมีข้อตกลงร่วมกัน ส่วนจะมีข้อตกลงเกี่ยวกับอะไรก็แล้วแต่ธุรกิจ ตัวสินค้าของธุรกิจนั้นอาจต้องตกลงกันในเรื่องปริมาณ คุณภาพ ราคา และ ปัจจัยการผลิตที่ใช้ การขยายกิจการในลักษณะนี้นิยมมากในธุรกิจเกษตร มีความหมายถึงการเกษตรที่มีข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้ผลิตและผู้ซื้อ จำต้องมีข้อตกลงเกี่ยวกับปริมาณการรับซื้อ ราคา และปัจจัยการผลิต ถ้ามีข้อตกลงกับผู้ผลิตด้วย บางประเทศจะเรียกว่าผู้ผลิตข้างนอก OUT GROWERS ลักษณะนี้ถือเป็นเรื่องปกติของธุรกิจเกษตร

ในช่วงปี 2533 มีผู้ประมาณการกันว่าในอเมริกามีปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรทั้งพืชและสัตว์ที่ดำเนินการในลักษณะนี้ร้อยละ 17 ส่วนการผลิตในระบบข้อตกลงระหว่างโรงงานแปรรูปกับผู้ผลิต ประเภทผักที่ต้องแปรรูป บรรจุภาชนะ รักษาอุณหภูมิ มีสูงถึงร้อยละ 67 ในปี 2537 ส่วนประเภทไก่กระทง ใช้ระบบข้อตกลงถึงร้อยละ 90

นักวิจัยที่ศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้อย่าง KOHLS AND UHI, 2002 สรุปไว้ว่า ในธุรกิจเกษตร ทั้งผู้ผลิตและผู้แปรรูป ต่างก็เผชิญความเสี่ยงในการทำธุรกิจ ด้านผู้ผลิตจะเสี่ยงจากความผันผวนของราคาปัจจัยการผลิตและราคาสินค้า ตลอดจนคุณภาพผลผลิตซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละฤดู ส่วนผู้แปรรูปก็เช่นกัน มีปัญหากับความแปรปรวนของคุณภาพ ทั้งขนาด รสชาติ สิ่งปนเปื้อนและอื่นๆ ที่สำคัญทั้งสองฝ่าย ต่างก็ประสบปัญหาในการหาแหล่งทุน เพราะอุปกรณ์และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว มีราคาแพงขึ้นแต่ก็ต้องเปลี่ยน มิฉะนั้นจะเสียตลาด เป็นต้น

ลักษณะของข้อตกลงในอเมริกามีหลายลักษณะแล้วแต่คู่กรณีต้องการ แต่พอสรุปได้ว่าจะประกอบด้วย 1. การกำหนดลักษณะสินค้าที่ผลิตและตามด้วยราคา เช่น สินค้าเกรด A ราคาหนึ่ง เกรด B อีกราคาหนึ่ง 2. มีการจัดหาหรือระบุชนิดปัจจัยการผลิต ให้ผู้ผลิตใช้ รวมทั้งระบุแหล่งผลิต 3. ให้ความช่วยเหลือด้านการจัดการ รวมทั้งให้ความมั่นใจเรื่องรายได้หรือราคา

สำหรับในประเทศไทย ไม่มีหลักฐานชัดเจนเป็นทางการว่า การทำเกษตรที่มีข้อตกลงเริ่มที่ไหน แต่จากคำให้สัมภาษณ์ของผู้อำนวยการโรงงานยาสูบที่เข้าซื้อกิจการจากบริษัทต่างชาติในปี 2475 แล้วได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกใบยาสูบพันธุ์เบอร์เลย์ และเตอร์กิช จึงเหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงส่งเสริมเกษตรกรปลูกใน จ.เพชรบูรณ์ ขณะที่พันธุ์เวอร์จิเนียปลูกในภาคเหนือ แต่ละปีโรงงานยาสูบซื้อใบยาจากเกษตรกรสองแสนรายเป็นมูลค่าปีละกว่าพันล้านบาท ผู้ปลูกทุกคนได้รับอนุญาตให้ปลูกประมาณ 6 ไร่ ต้องปลูกภายใต้ข้อตกลง เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องควบคุมดูแลทุกขั้นตอน เช่น ต้องปลูกในช่วงฤดูฝน ต้องเก็บใบยาจากล่างขึ้นบน นับไป 7-10 ใบ เก็บมาแล้วต้องบ่มโดยวิธีให้อากาศช่วย (AIR-CURED TOBACCO) เป็นต้น

หลังจากนั้นการปลูกพืชภายใต้ข้อตกลงนำมาใช้ในการผลิตเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศ แตงกวา สำหรับส่งออก ต่อมาอีก 10 ปีก็แพร่หลายไปสู่พืชและสัตว์ภายใต้ระบบธุรกิจเกษตร เช่น การเลี้ยงสุกร การเลี้ยงไก่กระทง ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากการศึกษาของคณาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น

คำว่า CONTRACT FARMING จึงหมายความถึงการทำเกษตรกรภายใต้ข้อตกลง แต่ไม่ทราบว่าใครนำไปบัญญัติศัพท์ว่า เกษตรพันธสัญญา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทัศนคติเชิงลบ และมีเจตนาให้เป็นคำที่ส่อไปในทางการสร้างความรู้สึกไม่ดีต่อเจ้าของโครงการ ... ทำให้ข้อดีของ “ระบบเกษตรภายใต้ข้อตกลง” ถูกมองอย่างบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง จึงอยากรณรงค์ขอให้เลิกใช้คำดังกล่าว และถ้าคิดจะใช้คำว่า CONTRACT FARMING ก็ควรทับศัพท์ หรือหากจะแปลเป็นไทย ก็ควรใช้คำว่า “ระบบเกษตรภายใต้ข้อตกลง” จึงจะถูกต้องและตรงประเด็น

เพราะหากยังใช้คำผิดๆ จะทำให้เกษตรกรไทยเกิดความกลัว และเสียโอกาสในการเข้าถึงระบบดีๆ ที่สามารถช่วยให้ครอบครัวลืมตาอ้าปากได้ รวมไปถึงคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เกษตรกรอาจจะเข้าใจผิดและนำไปพูดต่อๆ กัน จนเสียหาย

ปัจจุบัน บริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกษตรไม่ว่ารายย่อย หรือรายใหญ่ ต่างนำระบบนี้มาใช้ และที่ทำได้ดีก็เช่น กลุ่มซีพีเอฟ ที่มีแบบแผน มีระบบการจัดการที่ดี ทั้งยังมีประเภทของเกษตรข้อตกลง ถึง 3 ลักษณะ ให้เลือกตามความต้องการและความเหมาะสมของเกษตรกรแต่ละคน โดยมีตัวอย่างของเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จเป็นแม่แบบมากมาย

เช่นเรื่องราวของหนุ่มสาวชาว อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา จบการศึกษาแล้วเข้ากรุงเป็นมนุษย์เงินเดือน 9 ปี อยากเปลี่ยนชีวิต จึงกลับบ้านไปคุยกับเพื่อนบ้าน และพนักงานบริษัท ได้รับคำอธิบายจึงเกิดความมั่นใจ และตัดสินใจเข้าเป็นเกษตรกรภายใต้ข้อตกลง ครั้งแรกไปกู้มาเงินมาทำคอกเลี้ยงสุกร 1.3 ล้านบาท เลี้ยงมา 3 ปี (2552-2554) ปีสุดท้ายจึงลงทุนเพิ่มอีก 1.5 หมื่นบาทเพื่อทำไบโอแก๊ส ช่วยประหยัดค่าพลังงานไปได้ร้อยละ 80 มีรายได้จากการขายมูลสุกรปีละ 5 หมื่นบาท เลี้ยงสุกรปีละ 2 รุ่นๆ ละ 550 ตัว ได้หมูน้ำหนัก 110-115 กิโลกรัม บริษัทรับซื้อทั้งหมด เท่าที่เลี้ยงมาไม่เคยขาดทุน เจ้าตัวบอกว่า มีรายได้ดีขึ้น คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น

รายที่สอง หมอบัณฑิต เป็นหมอหนุ่มจากอุบลราชธานี เคยเลี้ยงไก่ไข่มาก่อน และอยากขยายกิจการ บนที่ดิน 13 ไร่ จึงคุยกับบริษัทถึงข้อตกลงกันกระทั่งมั่นใจ จึงตัดสินใจกู้เงินจากธนาคาร 13 ล้านบาท สร้างเล้าไก่และระบบคอมพิวเตอร์ จะคืนทุนใน 7 ปี เริ่มต้นดำเนินการปี 2549 เริ่มต้นรับไก่สาวอายุ 17-18 สัปดาห์ เลี้ยงในโรงเรือนระบบปิด 52 สัปดาห์ จึงปลดแม่ไก่ จำนวนแม่ไก่ 36,160 ตัวนี้ ออกไข่วันละ 85-90% บริษัทรับซื้อทั้งหมดในราคาที่ตกลงกัน ... คุณหมอเห็นผลงานตัวเองมาแล้ว 6 ปี บอกว่า มั่นใจจะประสบความสำเร็จตามแผนที่วางไว้แน่

นี่เป็นตัวอย่างของเกษตรกรในระบบเกษตรข้อตกลง ที่ยอมรับและปฏิบัติกันในข้อตกลงที่วางไว้