เด็ก 3 คนสร้าง 3 วงกลม

เด็ก 3 คนสร้าง 3 วงกลม

ผู้นำและทีมผู้บริหารมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมวัฒนธรรมองค์กรและความรับผิดชอบต่อสังคมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกับงานที่ทำในแต่ละวัน

ใช่หรือไม่ครับ ที่ใครเรียนจบมาทางไหนและทำงานรับผิดชอบทางด้านใด ก็จะใส่ใจในเรื่องที่เรียนมา และเรื่องที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลรับผิดชอบเฉพาะด้านนั้นๆ เสมอ


ตัวอย่างประชดประชันที่เคยอ่านเจอในตลก MBA ตอนหนึ่ง เล่าว่า ภรรยาที่มีอายุครรภ์ใกล้คลอดเอ่ยกับสามีที่ทำงานทางด้านการเงินว่า “หมอบอกกำหนดวันคลอดไว้วันที่ 15 เดือนหน้า” สามีนักการเงินตอบ “ระวังนะ จัดการทุกอย่างทุกรายการให้ทันตามวันที่หมอบอกนะ เพราะถ้าไม่อยู่ในแพ็กเกจที่ซื้อไว้ ค่าใช้จ่ายจะถูกปรับเพิ่ม” (Higher rate over the due date) ส่วนสามีนักการขาย ให้คำตอบว่า “ดีล่ะ ก็ว่ากันตามนั้น แต่น่าจะมีแผนสองสำรองไว้นะ เผื่อไว้ก่อนดีกว่า” (Contingency plan)


คราวนี้มาฟังสามีนักการตลาดที่เป็นห่วงเรื่องงานเสร็จไม่ทันดูบ้าง “เผื่อไว้สักหน่อยดีกว่านะ ขอเป็นวันที่ 10 ถ้าได้ 12 ก็ยังมีเหลืออีก 3 วัน เผื่อเหลือเผื่อขาด จะได้ไม่ต้องมาลุ้นเอานาทีสุดท้าย” (Buffer for last minute intricacy) ขณะที่สามีฝ่ายควบคุมการผลิตจะตอบกลับทันทีว่า “มั่นใจนะว่าจะคลอดได้ตามธรรมชาติ หรือว่าควรจะเตรียมการผ่าตัดไว้ล่วงหน้า” (Delivery & Operation) และแน่นอนสามีฝ่ายบุคคลก็คงพูดว่า “ได้เลย แต่คุณต้องไม่ลืมกรอกข้อมูลในแต่ละขั้นตอนของเอกสารให้เรียบร้อยก่อนที่จะคลอดนะ จากนั้นเราก็จะจัดงานเลี้ยงฉลองกัน” (Procedure and Formality)


ตลก MBA จบแบบห้วนๆ ไม่ได้กล่าวต่อว่า ถ้าสามีเป็น CEO จะตอบว่าอย่างไร


ขณะที่ผมกำลังอ่านตลกเรื่องนี้อยู่ในวันพักผ่อน ลูกชายวัยรุ่นของผมก็กำลังถกเถียงกับเพื่อนๆ ว่าจะไปเที่ยวไหนกันดี คนหนึ่งอยากไปเล่นเรือใบ อีกคนเป็นห่วงว่าเงินจะไม่พอ เล่นแค่น้ำสระที่โรงแรมก็ได้ เพื่อนอีกคนเป็นห่วงเรื่องเวลา เพราะนัดให้แม่มารับตอนเย็น ผมไม่ได้แนะนำอะไร เพราะต้องการดูว่า เด็กๆ จะตกลงกันเองได้หรือไม่ ซึ่งภายในใจผมก็กำลังคิดถึงการประชุมและการทำงานที่บริษัท ทุกวันผู้คนที่มาอยู่ร่วมกันมักจะแสดงความเห็น ตัดสินใจ ปฏิบัติงานกันไปตามส่วนที่ตนเองถนัดและรับผิดชอบคล้ายคลึงกับตลก MBA และเหตุการณ์ของเด็กๆที่กำลังถกเถียงกันอยู่


สุดท้ายเด็กๆก็ตกลงกันเองได้ด้วยดี รู้จักการคิดคำนึงถึงความเห็นของกันและกัน ให้ความสำคัญต่อกัน (Value) โดยยอมไปเล่นเรือใบแค่ชั่วโมงเดียวตามด้วยเล่นน้ำสระอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อใช้จ่ายน้อยลงและกลับมาทันเวลา ผมเกิดความประทับใจในมิตรภาพที่ยั่งยืนของเด็กๆ ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดต่อถึงเรื่องราวของความยั่งยืนของบริษัทเป็น 3 วงกลมที่มาทับซ้อนกันมา subset กันแบบโลโก้ของช่อง 7 สี


ความยั่งยืน Sustainability คือสิ่งสำคัญที่สุดของบริษัท ซึ่งเกิดจากความสำเร็จของวงกลม 3 วงที่มาทับซ้อนกันตรงส่วนที่เป็นใจกลาง


แสดงให้เห็นว่า CEO มิได้คำนึงเฉพาะเจาะจงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาทิเช่น ผลประกอบการ ยอดขาย แผนธุรกิจ แผนสำรอง กฏระเบียบ ประสิทธิภาพการผลิต การลดต้นทุน แผนการโฆษณา ฯลฯ เหล่านี้คือองค์ประกอบของวงกลมวงแรกเท่านั้นที่ขอเรียกชื่อว่า Performance ที่มุ่งเน้นการขายและการลดต้นทุนเพื่อให้เกิดผลกำไร ซึ่งผู้บริหารส่วนใหญ่คำนึงถึงเป็นอันดับแรก วงที่สองขอเรียกชื่อว่า Corporate Culture วัฒนธรรมองค์กร ซึ่งสำคัญยิ่งในการหล่อหลอมจิตใจผู้คนที่มาอยู่ร่วมกันทำงานร่วมกันให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความสามัคคี เคารพในความคิดเห็นของกันและกัน คิดดีต่อกัน ให้กำลังใจกัน ไม่เอาเปรียบและคดโกงกัน ส่วนวงที่สามขอเรียกว่า Corporate Social Responsibility การรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม


ในอดีตการจัดการให้บริษัทเกิดผลประกอบการที่ดี มีกำไร ก็ถือว่า เพียงพอต่อความอยู่รอดของบริษัทแล้ว ต่อมาแนวทางการพัฒนาให้ผู้คนที่อยู่ร่วมกันมีวัฒนธรรมที่ดี จึงยิ่งเป็นการส่งเสริมให้กิจการนั้นมีพัฒนาการและมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ดังนั้น subset ของวงที่หนึ่งและสองจึงเป็นผลกำไร Profit บางบริษัทที่มีผลประกอบการดี แต่ผู้คนไม่รักกัน ไม่ใส่ใจในวัฒนธรรมองค์กร แต่กลับมีผู้บริหารที่ใส่ใจกับการช่วยสังคมและขีดเส้นให้ทุกคนมาร่วมงาน CSR อย่างไม่ได้เต็มใจ สิ่งที่ได้มาจึงเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์ให้บริษัทดูมีภาพลักษณ์ที่ดีเท่านั้น Corporate Image จึงเป็น subset ของวงที่หนึ่งและสาม บางบริษัทที่มีผลประกอบการไม่ดี แต่กลับมีผู้คนที่มีวัฒนธรรมที่ดีและมุ่งเน้นช่วยสังคม นานวันเข้าบริษัทก็จะอยู่ไม่ได้เพราะมีฐานะทางการเงินที่ไม่ดี บริษัทจะไม่มั่นคงเหมือนอย่าง subset ที่มีแค่วงที่สองกับสามที่ได้เรื่องของ คุณงามความดี Goodness


อ่านถึงตอนนี้แล้ว อยากให้พิจารณาว่า บริษัทของเราๆ ท่านๆ เป็นแบบใด ท่านที่เป็น CEO และผู้บริหารระดับสูงจึงควรคำนึงถึงวงกลมทั้งสามวงให้มีความสมดุลทั้งนี้ก็เพื่อความยั่งยืน บ่อยครั้งที่จัดกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมองค์กร กลับไม่มีผู้คนสนใจ ด้วยคิดว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า งานประจำยังทำกันไม่ทันเลย บ่อยครั้งที่งาน CSR มีคนแค่หยิบมือเดียวที่เข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงใจ หรือไม่ก็เข้าร่วม เพราะเกรงใจหรือเห็นใจหัวหน้างาน เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนที่จะตามมา เพราะพอใจกับผลประกอบการในวันนี้ที่คิดกันว่ามั่นคงพอแล้ว


ผู้นำและทีมผู้บริหารจึงมีส่วนสำคัญมากในการหล่อหลอมวัฒนธรรมองค์กรและความรับผิดชอบต่อสังคมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกับงานที่ทำในแต่ละวัน


อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ตรงกันข้ามเรื่องราวเหล่านี้ควรจะถือเป็นนโยบายที่เขียนควบคู่ไปกับแผนธุรกิจของทุกๆ ฝ่ายมากกว่า ตัวอย่างเช่น การลดการใช้พลังงาน การสร้างนวัตกรรมจากวัสดุเหลือใช้ การลดการใช้อุปกรณ์สำนักงานที่สิ้นปลือง การไม่สร้างมลภาวะทางน้ำและอากาศ การบริหารกองทุนพนักงานด้วยวิธีการต่างๆ การหลีกเลี่ยงการใช้หีบห่อจากวัสดุที่ย่อยสลายยาก การกำหนดนโยบายไม่ให้และไม่รับ Anti corruption การสร้างความมีส่วนร่วมกับพนักงาน ชุมชน ลูกค้า ตลอดจนคู่ค้าต่างๆ รวมทั้งการมีธรรมาภิบาลที่ดี ฯลฯ


เด็กๆ สามคนได้ฝากข้อคิดไว้ให้กับผม โดยไม่รู้ตัว มิตรภาพที่ยั่งยืน Sustainability ของเด็กๆ นั้นได้เกิดจากการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันเหมือนดั่งพัฒนาการในการสร้าง Corporate Culture หากเปรียบเทียบความรับผิดชอบต่อเวลาเป็น CSR ที่มีต่อผู้ปกครอง เด็กๆ ก็ให้ความสำคัญไม่แพ้ไปกว่าการได้ไปเล่นเรือใบที่เป็นการสร้าง Performance ได้ดี


ดุลยภาพนี้ คงไม่ต่างกับคำตอบของ CEO ที่มีต่อภรรยาในตลก MBA ว่า “ที่รัก ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมนั่งนับวันรอเวลาที่จะได้เห็นหน้าลูกของเราพร้อมๆ กัน ว่าแต่ว่า...วันนี้พ่อยังไม่ได้คุยกับลูกในท้องเลย”