ว่าถึง “ที่ปรึกษานายกฯรัฐมนตรี”

ว่าถึง “ที่ปรึกษานายกฯรัฐมนตรี”

ข่าวสำคัญระยะนี้ ที่จะโยงถึงอนาคตและเศรษฐกิจของไทย กำลังระอุขึ้นในหลายแห่ง ซึ่งติดตามฟังแล้ว ก็ให้รู้สึกว่า น่าเบื่อ ปวดหัว

และทำให้ต้องเป็นห่วงอนาคตประเทศ ซึ่งในความเป็นจริง ปัญหาอาจไม่เลวร้ายหรือมีอย่างที่ผมว่า หากแต่อาจเกิดจากการรู้มาก คิดมาก กับมีข้อมูลยาวตามอายุขัยที่มากขึ้น หรือมีมุมมองต่างก็เป็นได้  
 

บางครั้งคำเตือนให้มองข้ามหรืออย่ามองในแง่ร้าย ได้มาจากคนใกล้ตัว สมาชิกในครอบครัว เปิดโอกาสให้เลิกเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ แล้วหันไปทำอะไรอื่นที่ชอบมากกว่าก็ได้ และหากทำได้ดีก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเองและใครๆ   
 

ซึ่งผมกำลังคิดและดูจะคล้อยตามอยู่ เพราะหวนย้อนกลับไปดู หลังจากที่ได้เขียนบทความติดต่อกันมานานถึงราวๆ สามสิบปีแล้ว เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นจริง และส่วนมากซ้ำ ตรงกับที่เตือนล่วงหน้า ทำให้รู้สึกเสียดาย กับสิ่งที่ป้องกันได้ ไม่ให้เกิดขึ้นจะดีกว่า แต่นิสัย หรือลักษณะไทยมักนิยมจะปรับตัวเอง
 

ภาพเหตุการณ์สำคัญวันนี้ที่เกิด ขึ้นจะมีอยู่ 3 เวที คือ  
 

ก. การประชุมสภาฯ อภิปรายงบประมาณแผ่นดิน   
 

ข. การแลกหมัด โต้แย้ง ในความคิดเรื่องนโยบายการเงินการคลังกับการพัฒนาประเทศ โดยต่อสู้กันเกี่ยวกับ "นโยบายประชานิยม" โดยการกู้เงิน สร้างหนี้ในประเทศมากมาย ซึ่งบอกทางอ้อมว่า คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแตะแบงก์ชาติ นี่คือ แนวทางของรัฐบาล ที่มี ดร.โกร่ง เป็นหัวแถว กับอีกแนวคิด คือ การใช้นโยบาย Inflation Targeting แนวคิดของหม่อมเต่า ที่ได้นำมาใช้ ถึงปัจจุบัน
 

ค. ที่สำคัญ คือ เวทีของนักแสดง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ในบทบาทรองนายกฯ เศรษฐกิจ ที่ลอยไปลอยมา ไม่ต่างกับ Casper การ์ตูน "ผีน้อยผู้น่ารัก" กับดาราเจ้าบทบาท "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" ซึ่งพยายามแถลงไขการทำงานรายวันอย่างแข็งขัน น่าติดตามในงานที่เธอกำลังทำ โดยเฉพาะการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท และชูนโยบายการลงมือสร้างเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง ซึ่งพื้นฐานของเจ้าของเรื่องนี้มาจากนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาฯ คนดังที่เป็นมาตั้งแต่อดีตนายกฯ ชาติชาย จนมาถึง นายกฯ ทักษิณ แล้วมาจนถึง นายกฯ ปู ที่เพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งไม่นานมานี้
 

แถมด้วยรายการคล้าย "บ้านเล็ก ในป่าใหญ่" คือ การฟื้นดอนเมืองกลับมาให้กับบรรดาโลคอสท์แอร์ไลน์ ให้บินเข้ามาโกยกำไรได้เต็มสตรีม เพิ่มรายได้ มูลค่าหุ้นให้กับเจ้าของหลังฉากใหญ่ ที่เศรษฐกิจกำลังเปิดถึงกัน
 

ในวันนี้ ผมจะกล่าวถึงแต่เรื่องเบาๆ พอให้ทราบกัน คือ
 

ก. การอภิปราย งบประมาณ ดูจะไม่เป็นที่สนใจฟัง กับไม่จริงจังดังสมัยอดีตรองนายกฯ บุญชู โรจนเสถียร ที่ถูกเรียกว่า อาจารย์ใหญ่    
 

ประการหลังนี้เองที่ผมว่า ประมาทไม่ได้และจะมีผลต่อประเทศไทยใหญ่หลวง ในระยะไม่ยาวนักจากนี้ไป ซึ่งจำเป็นต้องมีการเตรียมการแก้ไข รองรับผลกระทบจากการทำงานของ 2 ดาราดัง นายกฯ หญิง พราวเสน่ห์ กับที่ปรึกษาฯ นายก นายพันศักดิ์
 

ซึ่งความคิดหลักของนายพันศักดิ์  ที่เป็นแก่นหรือเจ้าของแผนหลักของที่รัฐบาลจะทำในเร็วๆ นี้คือ ข่าวที่ปรากฏในหน้า 3 กรุงเทพธุรกิจ 17 สิงหาคม 2555 คือ 
 

แผนไฮสปีดเทรน ดันไทยศูนย์กลาง "โลจิสติกส์" ภูมิภาค  โดยจะเร่งให้มีการประมูลนานาชาติ แล้วจะเสร็จเปิดให้บริการ ปี 2561 พร้อมคาดว่า จะลดกรใช้น้ำมันได้ 4 แสนบาทต่อปี โดยเขาอ้างถึง เจ้าของความคิดเสนอให้มีการลงทุนรถไฟความเร็วสูง และให้มีการประมูลนานาชาติ โดยมี 47 ประเทศ สนใจคือ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส โดยกำหนดไว้ 4 เส้นทาง ใจกลางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ หนองคาย พัทยา หัวหิน ซึ่งเมื่อเสร็จใกล้กับท่าเรือทวาย ก็จะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์
 

พร้อมย้ำว่า จำเป็นต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และ (เตือนว่า) ถ้าไม่ทำ ไทยจะเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ข้อดี ต้นทุนคมนาคมจะลดลงไปใน 80 ปีข้างหน้า ตามแผนการจะลดการใช้น้ำมันลงปีละ 4 แสนล้านบาท รถไฟความเร็วสูงนี้ จะดีต่อไทยใน 4 ด้าน คือ
 

1. การพัฒนาสินค้าโอท็อป และการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs และทำให้มีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น
 

2. จะเกิดเขตอุตสาหกรรม และเมืองใหม่รอบพื้นที่ของข่ายรถไฟความเร็วสูง
 

3. การเชื่อมต่อการค้า ขายสินค้า การท่องเที่ยว ระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ
 

4. เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น กับการกระจุกตัวในเขตชุมชนเมือง
 

ฟังดูแล้ว ส่วนหนึ่งดูจะเป็นไปตามบทความของผมเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ว่า โครงการนี้เป็นความคิดและเป็นที่ต้องการของ 2 มหาอำนาจเศรษฐกิจ คือ จีน กับญี่ปุ่น ที่แสวงหาทางออกโยงมาถึงภูมิภาค แต่แถมเพิ่ม ด้วยการมีเจ้าเก่า "อดีตประเทศนักล่า" ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส กับที่มาจากทางไกลเหนือฟ้า คือ สหรัฐอเมริกา ที่แสวงหาจุดที่เป็นประโยชน์สูงสุดได้เสมอ
 

แต่ความคิดของ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ต่อท้องถิ่นและประเทศไทยนั้น ผมคิดว่า อุดมคติเกินไป อันเป็นธรรมดาของนักปรัชญาขายฝัน คล้ายกับกลยุทธ์ของ "ชาว บุบผาชน ที่มือหนึ่งถือ กีตาร์ สะพายย่าม นิยมลัทธิเซ็น กับนิยมคุยกับลมแถวชายเขา" ที่เสนอความคิดที่ใช้นำร่องการแสวงหาประโยชน์ได้ ซึ่งต่อกรณีนี้ผมคิดว่านายพันศักดิ์ ที่ปรึกษานายกฯ สำคัญที่กลายเป็นไฟแช็ก ใช้จุดความฝันให้พวยพุ่งเป็นจริงออกมาได้บ้าง
 

ผมคิดว่า ความหวังที่จะให้เป็นแหล่งขายสินค้า ลดการกระจุกตัวของชุมชนเมือง และเปิดโอกาสให้เกิดวิสาหกิจขนาดเล็ก ตามเส้นทางนั้น คงไม่เป็นจริง ทั้งนี้ จะโทษว่า นายพันศักดิ์ คงไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์ทางปฏิบัติเลย   
 

ตามประวัติ เขาคือ บุตรของนายประยูร  วิญญรัตน์ อาจารย์สอนบัญชีของนายบุญชู อดีตผู้จัดการใหญ่ของแบงก์กรุงเทพ โดยสมัย 14 ตุลา 2516 นายพันศักดิ์ ซึ่งนิยมเศรษฐกิจแนวสังคมนิยมจากการเรียนที่อังกฤษ  ได้รอดจากการถูกจับด้วยการช่วยเหลือของ พล.อ. ยศ เทพหัสดิน แล้วเมื่อกลับมาจากต่างประเทศ ก็ทำงานเป็นเพื่อนสนิทของคุณสนธิ ที่ นสพ. ผู้จัดการ ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นที่ปรึกษาทีมบ้านพิษณุโลกของอดีตนายกฯ ชาติชาย แล้วกลายมาเป็นที่ปรึกษาของอดีตนายกฯ ทักษิณ โดยเป็นมาอย่างไร ผมไม่ทราบ
 

แต่ที่ได้พบบางครั้ง คือ เป็นคนมีความคิดแปลก เป็นนักปรัชญา ที่พูดแล้วฟังดูแปลกเข้าใจยาก โดยเป็นนักอุดมการณ์ มากกว่านักปฏิบัตินิยม และจะเชี่ยวชาญในการวาดฝันภาพทางสังคมและการเมือง แต่ทางปฏิบัติแล้ว การนำเอาแนวคิดตามอุดมคติไปทำให้เกิดผลนั้น จะออกมาเป็นหัวหรือก้อย จะขึ้นกับอิทธิพลของกลุ่มทุนต่างชาติ กับทุนไทยมากกว่า