ปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของคนทั้งหลาย ซึ่งล้วนเป็นความทุกข์ จึงทรงมุ่งโมกขธรรม
คือธรรมที่เป็นเครื่องพ้นจากความทุกข์ของโลก
ก่อนพุทธปรินิพพาน 45 ปี หรือเมื่อ 2,600 ปีมาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้พระธรรม ในคืนวันเพ็ญเดือนหกหรือเดือนวิสาขะซึ่งมาจากวันเพ็ญพระจันทร์เสวยดาวฤกษ์ ชื่อว่าวิสาขา ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา รัฐมคธ
เมื่อ ตรัสรู้แล้วทรงประทับเสวยวิมุตติสุขในบริเวณใกล้ๆกันนั้นอยู่หลายสัปดาห์ ในชั้นแรกนั้น จะไม่ทรงแสดงธรรม เพราะทรงเห็นว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ แต่เมื่อทรงพิจารณาดูว่าคนมีต่างๆกัน ทั้งผู้ที่สามารถตรัสรู้ได้และไม่ได้ เสมือนบัวสามเหล่าที่อยู่พ้นน้ำ ในน้ำ และในตม จึงตกลงพระทัยว่าจะแสดงธรรม
โดย ทรงแสดงปฐมเทศนาในวันเพ็ญเดือนแปด หรือเดือนอาสาฬหะ ในการแสดงปฐมเทศนาทรงแสดงสองตอนคือ ตอนแรกทรงชี้ทางสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฏิปทา คือไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป และการที่จะทำให้ดวงตาเห็นธรรม เกิดความหยั่งรู้ เกิดความสงบ ความรอบรู้ ดับกิเลส ประกอบด้วยองค์ประกอบ 8 ประการคือ มรรค 8 ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายามะ พยายามชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ และสัมมาสมาธิ คือตั้งใจชอบ
ในตอนที่สอง ทรงแสดง ความจริงของบุคคลผู้ประเสริฐ หรืออริยสัจ 4 ประกอบด้วย ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือ มรรค
ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเป็น.การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นทุกข์ ความคับแค้นใจ ไม่สมหวัง พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ล้วนเป็นทุกข์
ทุกขสมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์ ตัณหา หรือความอยาก ทั้งกามตัณหา อยากได้ในสิ่งที่พอใจ ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น และวิภวตัณหา ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น
ทุกขนิโรธ คือการดับทุกข์ ถ้าดับตัณหาได้ ก็จะดับทุกข์ได้
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือมรรค มี 8 ประการ คือวิธีดับกิเลส ด้วยการเห็นชอบ ดำริชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ และตั้งใจชอบ ข้างต้น
ตอนที่สาม พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงถึง การตรัสรู้ ว่าต้องมีลักษณะกำหนดรู้ว่าสิ่งที่ผุดขึ้นมานี้เป็นทุกข์ เป็นความรู้ที่ผุดขึ้นว่าควรละจากสมุทัย หรือจากเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นความรู้ที่ผุดขึ้นว่า ต้องทำการดับทุกข์ และเป็นความรู้ที่ผุดขึ้นว่าเป็นมรรค ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
จะเรียกว่าตรัสรู้ ต้องประกอบด้วยสัจจญาณ (ญาณ คือความรู้) สัจจญาณ คือรู้ในความจริง ว่านี่เป็นทุกข์จริง นี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์จริง และต้องรู้ในกิจจญาณ คือรู้หน้าที่ รู้ว่าต้องปฏิบัติในการกำหนดรู้ การละ การทำให้แจ้ง และการปฏิบัติตามมรรค 8 และต้องรู้เป็นกตญาณ คือรู้ว่าทำกิจเสร็จแล้ว
ในการตรัสรู้ ต้องรู้ 3 รอบ คือ รู้ในอริยสัจ 4 โดยเป็นสัจจญาณ คือรู้ในความจริง รู้ในอริยสัจ 4 โดยเป็น กิจจญาณ คือรู้ในหน้าที่ และรู้ในอริยสัจ 4 โดยเป็น กตญาณ คือรู้ว่ากำหนดทุกข์แล้ว สาเหตุให้เกิดทุกข์ก็กำหนดเสร็จแล้ว การดับทุกข์ก็ทำไปแล้ว และมรรคปฏิบัติก็ได้ทำแล้ว รวมเป็นอาการสิบสอง จึงเรียกเป็นความตรัสรู้ ผู้ที่มีความรู้ดังนี้จึงเป็น พุทธะ คือ เป็นผู้ตรัสรู้
ข้อความด้านบทนี้ ดิฉันคัดย่อและเรียบเรียงจากบทนำของหนังสือ "45 พรรษาของพระพุทธเจ้า" ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปรินายก ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พิมพ์พระราชทาน ในการบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองพระชันษา 96 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2552 เป็นหนังสือที่ดีและหายาก หนึ่งชุดประกอบด้วยสองเล่ม เพียงบทนำก็ทำให้เข้าใจพระธรรมมากขึ้นแล้วค่ะ
วันที่ 2 สิงหาคม 2555 เป็นวันเพ็ญเดือนแปด หรือเดือนอาสาฬหะ ครบรอบ 2,600 ปี ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมครั้งแรก หรือปฐมเทศนา เพื่อให้มวลมนุษยชาติ มีดวงตาเห็นธรรม และสามารถหลุดพ้น จากโลกอันวุ่นวายนี้
ขอเชิญทุกท่านร่วมสำนึกในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงเผยแพร่ธรรมที่ทรงตรัสรู้ เพื่อให้พวกเราชาวโลกที่ยังวนเวียนอยู่ใน โลภะ โทสะ โมหะ ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม เพื่อมุ่งสู่การเป็น ชาวพุทธ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยเทอญ
องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
ตัดมูลกิเลสมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร
องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย
พร้อมเบญจพิธจัก- ษุจรัสวิมลใส
เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง
กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปทั้งชายหญิง
สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ
ข้อขอประณตน้อม ศิรเกล้าบังคมคุณ
สัมพุทธการุญ- ญ ภาพนั้นนิรันดร




