เหตุเกิดที่ ร.ร.บดินทรเดชา

กรณีข่าวนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชาที่ทำท่าจะจบลงด้วยดี กลับร้อนขึ้นมาอีก เมื่อพ่อค้าขายขนมครกใกล้โรงเรียนร้องว่า ที่บอกว่าลูกของตนจะได้เรียน
แต่สุดท้ายไม่ได้ ตนจึงขอประกาศจะเผาตัวตาย ตามแบบเกาหลีโมเดล หรือ สืบ นาคะเสถียร เพื่อให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการคัดคนเข้าเรียนใหม่หมด
ทั้งนี้ ทราบกันชัดว่า งบการศึกษาแม้จะสูงถึง 6.4 แสนล้านบาทนั้น แต่กลับแก้ปัญหาการศึกษาไม่ได้ ซ้ำร้าย คุณภาพการศึกษายังตกต่ำลงในทุกระดับ ทั้งๆ ที่ผ่านการปฏิรูปและมีรูปแบบการบริหารทันสมัย เช่น การให้อุดมศึกษาออกนอกระบบไปแล้วก็ตาม สิ่งที่ปรากฏ คือ เด็กรุ่นใหม่ที่จบมาขาดความรู้ มีปัญหาการเรียนการสอนที่มากเครื่องมือและเทคโนโลยี แต่กลับได้ผลออกมาน้อยมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนที่ทุ่มทำไป
แต่อะไรก็ไม่เลวร้ายเท่ากับภาพที่เห็นในตอนฤดูสอบเข้า นั่นคือ น่าขายหน้าที่เด็กนักเรียนไทย ต้องใช้วิธีจับสลาก และบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้โชคดีจับได้เข้าเรียนในที่นั้นๆ ที่ตั้งใจไว้ ซึ่งก็คือ โรงเรียนดัง มีชื่อเสียง ที่มีครูเก่งครูดี ที่พ่อแม่และเด็กอยากเข้าไปเรียนแต่เนิ่นๆ
เพราะ ด้วยคุณภาพและชื่อเสียงโรงเรียน คือ แรงส่งที่จะให้บุตรหลานของตน ได้มีทางสะดวกเดินเข้าไปสู่การเรียนในขั้นอุดมศึกษา ไม่ว่าจะโดยการสอบเอนทรานซ์ หรือการสอบเข้าตรง ก็ตาม
ด้วยเหตุนี้เอง การต่อสู้เพื่อให้มีการเตรียมตัวเข้าอุดมศึกษาที่ดีๆ มีชื่อเสียงจึงมีมาแต่เนิ่นๆ ที่ผู้ปกครองจะวิ่งเต้นและทุ่มเททั้งทางตรงทางอ้อมให้ลูกของตนได้เรียนโรงเรียนดัง ซึ่งสามารถมั่นใจว่า จะเป็นแรงส่งสำคัญให้เข้าศึกษาต่อในอุดมศึกษา ตามระบบสอบตรงได้ค่อนข้างแน่
ในความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าที่นั่งในโรงเรียนดังที่เข้าได้นั้น แท้จริงมีมูลค่าสูงมาก และมีผลต่ออนาคตของเด็กที่จะมีฐานะอาชีพที่ดีในอนาคต การเข้าได้ในคณะดีๆ เช่น แพทย์ เภสัช เป็นต้น
ถ้าจะเปรียบ ก็คือ การเข้าเรียนได้เปรียบได้กับถูกรางวัลที่ 1 หรือการเอนทรานซ์ติดคณะดีๆ จึงเท่ากับได้ทุนการศึกษาโดยปริยาย เหตุนี้เองทำให้ครู ผู้สอนและผู้บริหารโรงเรียนดังในระดับมัธยม มีคุณค่าราคาต่อการเตรียมตัวเด็กของผู้ปกครอง ที่จะติดตามทำให้ได้รับทุนด้วยการเอนท์ติดคณะดีของมหาวิทยาลัย ซึ่ง จุดเริ่มของทางเข้า คือ การเข้าโรงเรียนดัง ให้ได้นั่นเอง
ดังนั้น การสร้างสายสัมพันธ์กับโรงเรียนและครูจึงเป็นช่องทางการสร้างสายตรงในการสนับสนุนให้ลูกได้เข้าโรงเรียนดี และขณะเรียนก็จะคะแนนดีจากการดูแลเป็นพิเศษโดยครูอาจารย์ ที่ไหว้วานช่วยสอนพิเศษให้
เรื่องนี้แม้ไม่เป็นจริงทั้งหมด แต่ก็เป็นส่วนใหญ่ที่ใครๆ ต่างรู้กัน โดยปรากฏการณ์ที่ออกมา คือ การจับฉลาก ซึ่งไม่ใช่การวัดผลที่ดี และขาดเหตุผล แต่ขึ้นกับเรื่องโชคมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าได้แล้ว ทุกคนก็จะเรียนไปตามระบบของโรงเรียน ซึ่งโดยสมมติฐานเด็กทุกคนที่เข้ามา ไม่ว่าจะโดยวิธีใดๆ ต้องถือว่าเมื่อเข้าแล้วต่างมีจุดเริ่มต้นเท่ากันและพร้อมที่จะพัฒนาเรียนรู้ได้โดยผ่านกระบวนการสอนของโรงเรียน คนที่เข้ามาได้ควรเรียนผ่านไปได้โดยไม่แตกต่างกันนัก
แต่ทางปฏิบัติหาเป็นเช่นนั้นไม่ ระหว่างที่เรียนไปเด็กบางกลุ่มจะตั้งใจเรียน และ/หรือ ผู้ปกครองเอาใจใส่ติดตามดูแลบุตรหลานของตนให้เรียนดีเข้าไว้ ซึ่งแน่นอนว่า คนขยันเรียนทุกคนจะเอาดีได้ไม่ยากและได้เรียนต่อในที่เดิม ขณะที่มีบางคนที่อ่อนวิชามาแต่แรก แล้วผู้ปกครองไม่ได้ดูแลกับไร้แรงสนับสนุนของครูผู้สอนแล้ว เมื่อถึงโค้งสำคัญมีการคัดออกจำนวนหนึ่ง ที่จำต้องมีขึ้นนั้น หากขาดความโปร่งใส ไม่มีเกณฑ์ที่ชัดเจนวางไว้ และไม่มีระบบการสอบพิสูจน์ หรือแข่งขันกันในด้านความรู้ ปัญหาก็คงเกิดขึ้นแน่
ข้อกล่าวหาในการประท้วง นับว่ามีเรื่องน่าสนใจที่เกี่ยวกับเยาวชนและมีผลต่ออนาคตของประเทศคือ เรื่องการศึกษา เช่นที่เกิดขึ้น ร.ร.บดินทรเดชา จะเป็นเช่นเดียวกับที่อื่นๆ คือ นักเรียนที่คะแนนเกรดต่ำจะต้องถูกคัดออก และต้องไปหาที่เรียนใหม่จำนวนหนึ่ง แต่ตัดสินกันด้วยเกณฑ์ใด มีความยุติธรรมหรือไม่ นั่นคือ ปัญหาใหญ่ ทำให้ต้องอดข้าวประท้วงกลายเป็นข่าวใหญ่ที่โยงไปถึงที่อื่นๆ แล้วขณะที่ปัญหากำลังจะถูกคลี่คลายนั้นเอง ได้กลายกลับมาร้อนฉ่าขึ้นมาอีก การจะเผาตัวตายอาจลามไปทั่วได้ ทั้งนี้ สาเหตุที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังที่คนในเท่านั้นที่รู้ เพราะปรากฏว่ามีนักเรียนบางคนที่คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่ากลับได้เรียนต่อที่โรงเรียนเดิมได้ ซึ่งถ้าไม่มีเหตุอื่นใดเกิดขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว ก็แสดงว่าปัญหามาจาก “นโยบายของ รมต.” ที่จะให้โรงเรียนรับเงินอุดหนุนและบริจาคได้ ตามที่ได้เคยแถลงออกมานั่นเอง
จึงทำให้เชื่อว่า ในกระบวนการคัดเลือกคนเรียนต่อได้เกิดความไม่โปร่งใส ขาดเกณฑ์ที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา ทำให้เกิดช่องโอกาสโดยการสวมรอยรับเด็กคะแนนต่ำกว่า แต่มีเงินบริจาคให้ได้เข้าเรียนต่อได้
ซึ่งเท่ากับบอกว่าเงินยังคงมีอิทธิพลสูงที่ทำให้เหตุผลกับความสามารถเป็นรองและอาจเป็นปัจจัยเบื้องหลังที่ทำให้มีการกระทำที่ไม่สุจริตเกิดขึ้น นั่นคือ เงินแป๊ะเจี๊ยะ ที่ผู้ปกครองสนับสนุนเข้ามาให้ทั้งทางตรงและทางอ้อม แก่ทั้งโรงเรียน ผู้บริหาร และหรือครู ก็ตาม
ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นนี้ ยิ่งเพิ่มขยายความเหลื่อมล้ำให้คงอยู่หรือกว้างกว่าเดิม เพราะยุคโลกภิวัตน์ เงินเป็นใหญ่อยู่แล้ว การเปิดโอกาสให้มีการแสวงหาประโยชน์ด้วยการใช้เงินจึงทำได้ง่ายและเป็นอันตรายยิ่ง เพราะด้วยตัวเงินหรือผลประโยชน์ที่เพิ่มสูงมาก จากนวัตกรรมการเงินสมัยใหม่ ทำให้คนรวยมีเงินมาก สามารถเข้าไป “จับเส้น เล่นสาย” ติดสินบน หรือ เล่นเกมการเมืองได้มากกว่าแต่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นการยกเกรดคะแนนด้วยการให้ลูกเรียนพิเศษแบบเฉพาะตัว เพื่อให้บุตรของตนได้รับคะแนนสูงเป็นทุนเดิมไว้ก่อน ตลอดทาง
ส่วนในอีกเส้นทาง ผลการเรียนจะดีหรือไม่ดีอย่างไร อาจขึ้นกับเด็กเป็นสำคัญ กรณีข่าวเรื่อง ร.ร.บดินทรเดชา ที่แก้ไขด้วยโดย "ศธ. สั่งโรงเรียนดังเขต 2 ขยายห้องรับ นร.บดินทรฯ" ซึ่งถือเป็นวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับเอาจิตวิทยานำหน้า ด้วยการเอาชื่อโรงเรียนดังอื่นๆ มารองรับกันเอง เพื่อให้เป็นที่พอใจและปัญหาไม่ลามไปกว้างจนเกิดการขุดค้นกันแบบ “สาวไส้ ให้กากิน” ซึ่งจะเสียหายแก่วงการศึกษา ก.ศธ. และการเมืองกับข้าราชการ ที่ถูกระบุเขียนข้อความโจมตีไว้ในป้าย
ต่อการแก้ไขปัญหานี้อย่างถาวร ต้องยอมรับว่า ปัญหาการศึกษาเชื่อมโยงถึงกันหมดทุกระดับ และเป็นต้นเหตุของคุณภาพการศึกษาและคุณภาพคนที่ต่ำลง ทั้งๆ มีการทุ่มงบประมาณจำนวนมากมหาศาลลงไป
ทางออกในเรื่องนี้ รัฐบาลจะต้องลงมือทำการออกแบบระบบการศึกษาใหม่ทั้งหมด เพื่อให้การศึกษาเป็นไปโดยธรรมชาติและตามกลไกการเรียนการสอนปกติที่ดี ที่มีหลักเกณฑ์ และวิธีการ ทั้งการวางแผนและการประเมินผลต่างๆ ทั้งนี้ ไม่ใช่การแก้ไขเพียงปลายเหตุแบบเฉพาะหน้า โดยที่สำคัญกว่า คือ การวางเป้าหมาย นโยบายด้านการศึกษาใหม่หมด กับต้องจัดให้มีการทบทวนทำให้โครงสร้างและการบริหารการศึกษาทุกระดับ มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ไม่ก่อปัญหาเหลื่อมล้ำกับเพื่อให้มีการพัฒนาคนรุ่นใหม่ ให้มีทั้งความรู้ ความยุติธรรมและคุณภาพ ภายใต้การแข่งความสามารถอย่างแท้จริงได้ ซึ่งน่าเชื่อว่าหากการศึกษาทำกับจริงจัง มีคุณภาพกับความสามารถอย่างแท้จริง โดยขจัดระบบอุปถัมภ์ กับการเล่นเส้นสายให้หมดไปได้แล้ว นักเรียนต่างจะยอมรับความจริง และจะเข้าใจถึงหลักคุณธรรมและความยุติธรรม รวมทั้งการมีความซื่อสัตย์ รักเกียรติยศของตน
ทั้งนี้ ความโปร่งใสจะช่วยให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อประโยชน์ที่ดีของทุกฝ่ายกับการแก้ปัญหาทุกด้านได้ในตัวด้วย แล้วเมื่อใดที่ทำได้เช่นนั้น ประเทศไทยจะโตแบบยั่งยืนได้ และไม่จำเป็นต้องให้คนนามสกุลดังจากวงการธุรกิจที่มั่งคั่ง กับลูกหลานข้าราชการ และลูกนักการเมืองที่เรืองอำนาจ ให้ต้องมารับบทบาทลำบากแทนคนไทยเราทั้งประเทศ โดยได้เข้าทั้งเรียนโรงเรียนดี ได้รับทุนตามด้วยการโตไวและได้ตำแหน่งที่ดีด้วย เพราะข้อที่ควรคิด คือ พ่อค้าขายขนมครก จำต้องประกาศเผาตัวตาย ก็เพราะเขารู้ตัวเองดีว่า หากลูกต้องไปเรียนโรงเรียนไกลบ้านแล้ว คงลำบาก ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมากขึ้น ขณะที่รายได้ของตนเองยังน้อยกว่าคนขับรถรับจ้างที่วิ่งไปมาแถวหน้าโรงเรียนบดินทร







