การควบคุมผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของกรีซ

ความกังวลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศกรีซ ทำให้มีการตั้งคำถามว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลกระทบประการใดบ้าง
สำหรับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ซึ่งคำถามนี้หาคำตอบได้ยากลำบากมาก เพราะผลกระทบย่อมจะขึ้นกับเงื่อนไขดังนี้
1. ผลการเลือกตั้งของกรีซในวันที่ 17 มิ.ย. : หากพรรค Syriza ชนะการเลือกตั้งและเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล นักลงทุนคงจะต้องสรุปได้ว่าประเทศกรีซจะถูกบีบให้ออกจากการเป็นประเทศที่ใช้เงินยูโร เพราะพรรค Syriza ไม่ยอมรับการรัดเข็มขัดทางการคลัง ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้รัฐบาลกรีซได้รับเงินช่วยเหลือจาก Troika (ไอเอ็มเอฟ, อีซีบีและสหภาพยุโรป) เพื่อการใช้จ่ายประจำและการบริหารหนี้ที่มีอยู่อย่างมากมาย แต่แม้ว่าพรรค New Democracy (ND) จะเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็ยังจะมีความเสี่ยงอยู่ระดับหนึ่ง เพราะแม้ ND จะยอมรับเงื่อนไขของ Troika แต่ก็ได้หาเสียงว่าจะต้องของเจรจาผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการเพื่อลดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนกรีซ ซึ่งได้เผชิญกับการหดตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 แล้ว
2. การควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ลุกลาม : การปรับลงของราคาหุ้นและการปรับขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและเยอรมนี ตลอดจนการอ่อนค่าของเงินยูโร เป็นการสะท้อนความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนว่า ปัญหาของกรีซจะแก้ไขไม่ได้และปัญหาอาจลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ เช่น โปรตุเกส สเปนหรือแม้กระทั่งอิตาลี ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าพันธบัตร 10 ปีของรัฐบาลสเปนนั้นดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 1% ในช่วงเพียง 1 เดือนที่ผ่านมาและปัจจุบันสูงถึง 6.2% แล้ว ในขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีของรัฐบาลอิตาลีก็ปรับขึ้นมาใกล้ 6% แล้ว
กล่าวคือประเทศกรีซซึ่งเป็นหนี้ประมาณ 3 แสนล้านยูโรนั้นเป็นปัญหาที่รัฐบาลยูโรสามารถจัดการได้หากไม่ลุกลามออกไป เพราะเม็ดเงินไม่สูงมากนัก แต่หากนักลงทุนขาดความมั่นใจและปัญหาลุกลามไปที่สเปนและอิตาลี ปัญหาจะใหญ่เกินแก้เพราะรัฐบาลสเปนมีหนี้สินประมาณ 8 แสนล้านยูโร ในขณะที่รัฐบาลอิตาลีมีหนี้สินอีก 2 ล้านล้านยูโร
Bank of America Merrill Lynch มองว่าสหภาพยุโรปจะต้องออกมาตรการที่ครบถ้วนและคิดอย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันมิให้ปัญหาลุกลาม ได้แก่มาตรการดังต่อไปนี้
1. ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ต้องเปิดโครงการปล่อยกู้ระยะสั้นอย่างไม่มีข้อจำกัดให้กับสถาบันการเงินในยุโรปที่ต้องการสภาพคล่องอีกรอบ (LTRO3) และลดดอกเบี้ยลงอย่างฉับพลัน
2. อีซีบีจะต้องเข้าไปซื้อพันธบัตรของรัฐบาลที่ได้รับผลกระทบ (เช่น สเปนและอิตาลี) ในจำนวนที่มากเพียงพอที่จะทำให้ดอกเบี้ยปรับลดลงและมีเสถียรภาพ
3. สหภาพยุโรปจะต้องเร่งรัดให้กองทุน ESM/EFSF เพิ่มทุนให้กับธนาคารพาณิชย์อย่างรวดเร็วและเพียงพอ
4. สหภาพยุโรปจะต้องเร่งพิจารณาออกพันธบัตรยูโร (euro bond) เพื่อให้รัฐบาลยุโรปที่อ่อนแอ (เช่นสเปน) สามารถใช้ประโยชน์จากพันธบัตรยูโรดังกล่าว ซึ่งเป็นการเอาเครดิตของประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่ง เช่นเยอรมนีมาช่วยค้ำประกันให้กับประเทศที่มีปัญหานั่นเอง
5. สหภาพยุโรปอาจต้องประกาศค้ำประกันเงินฝากของธนาคารทั้งระบบในสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันมิให้ผู้ฝากเงินตื่นตระหนกและเร่งถอนเงินจากธนาคารที่ถูกมองว่ามีปัญหา
6. สหภาพยุโรปอาจต้องยอมให้มีการควบคุมหรือห้ามโอนเงินทุนออกจากบางประเทศเป็นการชั่วคราว (capital control within the euro zone) ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักการของเงินสกุลเดียว
7. ประสานกับธนาคารกลางของประเทศเสาหลักทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น แคนาดา จีน ฯลฯ เพื่อเปิดวงเงินแลกเปลี่ยนเงินของแต่ละสกุลในกรณีที่มีความจำเป็น (swap line) เช่นธนาคารกลางยุโรปนำเงินยูโรไปแลกดอลลาร์จากธนาคารกลางสหรัฐ หรือแลกเยนจากธนาคารกลางญี่ปุ่น เป็นต้น
พอสรุปได้ว่านักลงทุนกำลัง “ทำใจ” กับการที่กรีซจะไม่สามารถรักษาสถานะของตนในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรได้ แต่ก็ยังตั้งความหวังว่ายุโรปจะออกมาตรการที่เข้มข้นและทันท่วงที เพื่อป้องกันมิให้ปัญหาลามออกไปสู่ประเทศอื่นๆ ความเชื่อดังกล่าวตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าการปล่อยให้ปัญหาขยายตัวออกไปจะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อยุโรปและต่อเศรษฐกิจโลกอย่างที่จะประเมินความเสียหายไม่ได้ ดังนั้นผู้กำหนดนโยบายจึงน่าจะ “ทำสิ่งที่ถูก” ในที่สุด
มาตรการ 7 ประการที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นน่าจะสะท้อนสิ่งที่นักลงทุนเชื่อว่าจะถูกประกาศออกมาใช้ในที่สุด ซึ่งเราคงจะไม่สามารถทำความเข้าใจกับมาตรการดังกล่าวได้ทั้งหมด แต่จะเห็นได้ว่าเป็นมาตรการที่เข้มข้นอย่างมาก ข้อกังวลสำหรับผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายคือมาตรการดังกล่าวจะได้รับความเห็นชอบทางการเมืองอย่างทันท่วงทีหรือไม่ เช่น การออก Euro bond ซึ่งเป็นการนำเอาเครดิตของประเทศที่มั่นคงไปช่วยค้ำประกันเครดิตของประเทศที่อ่อนแอ ซึ่งออสเตรียและฟินแลนด์ก็ได้ประกาศแล้วว่าไม่เห็นด้วย เยอรมนีเองก็ไม่ยอมรับเรื่อง euro bond มานานแล้ว ทำนองเดียวกันการผลักดันให้อีซีบี เข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลและปล่อยกู้ให้กับธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับอีซีบี ซึ่งหากเกิดความเสียหายขึ้นมาในอนาคต รัฐบาลประเทศที่มั่นคงก็จะต้องรับภาระในการเพิ่มทุนให้กับอีซีบี
ผมคิดว่าประเด็นที่สำคัญคือทุกมาตรการที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น มิได้มีมาตรการใดเลยที่จะแก้ไขปัญหาในระยะยาวหรือส่งผลในการปรับโครงสร้างหรือเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน พูดง่ายๆ คือไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่เกือบจะเป็นมาตรการเพื่อซื้อเวลาอย่างเดียวและประเทศที่จะต้องลงทุนลงแรงเสี่ยงออกมาตรการดังกล่าวดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลตอบแทนเชิงการเมืองแต่อย่างใด หมายความว่าไม่ได้อะไรแต่อาจถูกประชาชนของตนตำหนิว่าทำไมจึงทุ่มเทเงินเพื่อช่วยเหลือประเทศที่ขาดความรับผิดชอบทางการคลังอย่างซ้ำซาก ทั้งนี้ต้องอย่าลืมว่าในช่วงเวลาเพียงปีกว่าๆ ที่ผ่านมานั้นกรีซได้รับความช่วยเหลือมา 2 ครั้งแล้ว แต่กำลังจะเรียกร้องเพิ่มเติมอีก ซึ่งหากประสบการณ์กับกรีซเป็นเช่นนี้ ทำไมจึงต้องเสี่ยงให้ความช่วยเหลือกับโปรตุเกส สเปนและอิตาลีอีก ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่ากรณีของกรีซนั้นได้เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไข (มีวินัยทางการคลัง) เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ แต่เมื่อเกิดความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่นำไปสู่ความพลิกผันทางการเมืองก็เกิดกระแส “เบี้ยว” ข้อตกลงที่ทำเอาไว้เดิม
ประเด็นทางการเมืองที่ผมกล่าวข้างต้นนั้นเป็นข้อกังวลของผมเองว่าการจัดการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ให้ลุกลาม ซึ่งอยู่ในการคาดการณ์ของนักลงทุนเกือบทุกคน (เพราะเชื่อมั่นว่าอย่างไรเสียผู้นำยุโรปก็จะไม่ยอมให้หายนะทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น) นั้น อาจเป็นการมองโลกในมิติเดียว เพราะหากมองจากด้านของประเทศที่จะต้อง “ลงแรง” กอบกู้สถานการณ์อย่างต่อเนื่องมาหลายครั้งหลายหนนั้น อาจมีมิติอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ตัวอย่างเช่นเมื่อต้นปี 2008 ซึ่งเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มฟุบตัว และ Bearn Steaarns ประสบปัญหาในเดือนมีนาคม ทางการของสหรัฐก็รีบเข้าไปจัดการโดยเจรจาให้เกิดการควบรวมกิจการ เพราะกลัวผลกระทบต่อระบบถูกตำหนิและโจมตีว่าให้ผลประโยชน์กับธนาคารที่ซื้อกิจการของ Bear Steaarns มากไป ซึ่งผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสาเหตุหลักให้สหรัฐตัดสินใจไม่ “อุ้ม” Lehman Brothers เต็มที่ จนในที่สุดเมื่อการเจรจาควบรวมไม่สำเร็จก็ปล่อยให้ Lehman ล่มสลายลงไป ทั้งๆ ที่น่าจะประเมินได้ว่าจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบการเงินของโลกตามมา
กล่าวคือบางครั้งการจะผลักดันมาตรการเพื่อป้องกันมิให้วิกฤติเกิดขึ้นนั้นจะทำได้ยากเพราะเมื่อวิกฤติยังไม่มาถึง หลายฝ่ายก็จะไม่เห็นความจำเป็น ซ้ำร้ายหากดำเนินการไปแล้ววิกฤติไม่เกิดขึ้นก็ยากที่ผู้ที่ผลักดันมาตรการจะได้รับคำชมเชย เพราะมิได้มีปัญหาเกิดขึ้น หมายความว่าในหลายกรณีอาจจะต้องให้เห็นสถานการณ์เลวร้ายเกือบที่สุดเสียก่อน จึงจะเกิดความเข้าใจร่วมกันว่าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อจัดการกับหายนะที่อยู่ตรงหน้าครับ







