CPI ในการใช้...วัดค่าครองชีพ

CPI ในการใช้...วัดค่าครองชีพ

ในภาวะที่ประเด็นร้อนเรื่อง “ของแพง” กำลังเป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนในสังคมกำลังให้ความสนใจ

ในภาวะที่ประเด็นร้อนเรื่อง “ของแพง” กำลังเป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนในสังคมกำลังให้ความสนใจ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องที่ว่า “ประชาชนรู้สึกกันไปเองหรือไม่ว่าของมีราคาแพงขึ้น” ซึ่งผลวิจัยเชิงสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ที่ได้สอบถามความเห็นของประชาชนถึงปัญหาสินค้าราคาแพงว่า “เป็นเรื่องจริง” หรือ “เป็นเรื่องที่รู้สึกไปเอง” ปรากฏผลว่า ประชาชนกว่า 90.1% เห็นว่า “เป็นเรื่องจริง” และ 9.9% เห็นว่า “เป็นเรื่องที่คิดไปเอง” (เอแบคโพลล์เผยประชาชนบ่นของแพงจริง, โพสต์ทูเดย์ 6 พ.ค. 55) 

 

 

ทำให้นายกรัฐมนตรีพร้อมรัฐมนตรีอีก 11 ท่าน ต้องเร่งลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าตามตลาดต่างๆ ด้วยตนเอง ("11 รมต."ลงพื้นที่สำรวจตลาด ยันของไม่แพง โบ้ย "กลุ่มการเมือง" ปั่น "แพงทั้งแผ่นดิน" นายกฯ จับตากลไกราคา, มติชน 8 พ.ค. 55) เพื่อเป็นสร้างความเชื่อมั่นและคงนำเอาข้อเท็จจริงที่ได้ไปประมวลผล เพื่อพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการจัดการกับประเด็นเรื่อง “ของแพง” นี้ต่อไป

 

 

พิจารณาถึงผลจากโพลล์จริงๆ ก็ไม่มีนัยอะไรครับ เพียงแค่เป็นการยืนยันว่า ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่าสินค้ามีราคาแพงขึ้น  ซึ่งก็คงจะจริง เนื่องจากสินค้าที่ประชาชนมักสามารถจดจำราคาได้ส่วนใหญ่ จะเป็นสินค้าในกลุ่มอาหาร เช่น พืชผัก หรือ เนื้อสัตว์ ที่มีราคาสูงขึ้นจริง จากเหตุภาวะอากาศร้อนและเหตุเรื่องการขาดแคลนตามฤดูกาล 

 

 

ประกอบกับราคาน้ำมันดิบทั้งในตลาด Brent และ New York (ที่รายงานโดยสื่อมวลชนทุกแขนงทุกเช้าค่ำ) โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ตลาด New York ที่สามารถปรับตัวยืนเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ได้ในตลอดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (แต่ด้วยเหตุจากความไม่แน่นอนของประเทศในกลุ่มยูโรโซนทำให้น้ำมัน ณ ขณะนี้ ปรับตัวหลุด 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ)

 

 

แต่ประเด็นที่ผมค่อนข้างจะเป็นห่วงมาก คือ เรื่องการปั่นกระแส “ของแพง” ที่อาจจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์กระแสนิยม หรือที่เรียกว่า “Bandwagon Effect” ทั้งในส่วนของด้าน Demend ซึ่งจะทำให้เกิดการกักตุนสินค้า และในส่วนของการปรับขึ้นราคาของสินค้า โดยเฉพาะในสินค้าที่ผ่านการแปรรูปแล้ว เช่น อาหารปรุงสำเร็จ ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อพ่อค้า-แม่ค้าทำการปรับราคาขึ้นแล้ว (อ้างว่าต้นทุนวัตถุดิบแพงแล้ว) จะไม่ยอมที่ปรับราคาลดลงแม้ต่อมาเมื่อราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลงแล้วก็ตาม โดยหากกระแส Bandwagon Effect ดังกล่าวถูกจุดติด ก็จะทำให้สินค้ามีราคาแพงไปกันอีกยกใหญ่

 

 

หากว่ากันตามหลักการแล้ว การที่จะพิจารณาว่าถึงระดับราคาสินค้าว่าอยู่ในระดับใดสามารถกระทำได้ด้วยการพิจารณาจากดัชนีราคา (Price Index) ที่มีการสร้างขึ้นมา ซึ่งหากเมื่อ Price Index ดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นก็แสดงว่าภาวะราคาสินค้าที่ถูกนำมารวมคำนวณในดัชนีนั้น โดยเฉลี่ยแล้วปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

 

Price Index ที่เป็นที่นิยมใช้วัดระดับราคาสินค้าในปัจจุบัน ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป หรือ Consumer Price Index (CPI)  และดัชนีราคาผู้ผลิต หรือ Producer Price Index (PPI) ซึ่งทั้งคู่อยู่ในรับผิดชอบของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ แต่หากเป็นในประเทศสหรัฐอเมริกา Price Index ทั้งหลาย จะอยู่ภายในความรับผิดชอบของ Bureau of Labor Statistics (BLS) สังกัดกระทรวงแรงงานสหรัฐ (U.S. Department of Labor)

 

สำหรับ PPI หรือดัชนีราคาผู้ผลิต เป็นดัชนีชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าโดยเฉลี่ยที่ผู้ผลิตในประเทศได้รับจากการขายสินค้า ณ แหล่งผลิต แยกเป็น 3 หมวดใหญ่ ได้แก่ ผลผลิตเกษตรกรรม ผลิตภัณฑ์จากเหมือง และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ซึ่งจะมีทั้งในส่วนของสินค้าสำเร็จรูป สินค้าแปรรูป และสินค้าวัตถุดิบ) โดย PPI มักถูกนำไปใช้ในฐานะตัวชี้นำแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคต

 

 

ส่วน CPI หรือ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่า จะใช้เป็นตัวแทนสำหรับสินค้าเพื่อการดำรงชีพสำหรับผู้บริโภคทั่วไป เป็นค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของสินค้าใน 6 หมวดที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีพ ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม (33.01%) เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า (2.96%) ที่อยู่อาศัย (23.48%) ตรวจรักษาและบริการ (6.87%) พาหนะ/ขนส่งและการสื่อสาร (26.8%) บันเทิง (5.21%) และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (1.66%) รวม 417 รายการ 

 

คำว่า “เงินเฟ้อทั่วไป” หรือ “อัตราเงินเฟ้อทั่วไป” หรือ “Headline Inflation Rate” ตัวใช้วัดการเพิ่มขึ้นของระดับราคาที่พวกเราคุ้นเคยกันดี ก็จะคำนวณจากการเปลี่ยนแปลงของ CPI ตัวนี้นั่นเอง 

 

 

แต่เมื่อนำ CPI หรือดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปนี้ หักออกด้วยราคาสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงาน ซึ่งปกติจะผันผวนค่อนข้างมากด้วยปัจจัยภายนอกและเป็นลักษณะตามฤดูกาล (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24.5% ของ CPI ทั่วไป) เราก็จะได้ “ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน” หรือ “Core CPI” และจะเรียกอัตราเงินเฟ้อที่คำนวณได้จาก Core CPI นี้ ว่า “อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน” หรือ “Core Inflation” ที่เชื่อกันว่าเป็นตัวแทนของอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวได้ดีกว่า Headline Inflation 

 

 

การกำหนดนโยบายทางการเงิน (Monetary Policy) ของธนาคารกลางในหลายประเทศ อาทิเช่น US Fed ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (เช่น การปรับขึ้น/ลงของอัตราดอกเบี้ย) จึงใช้ค่า Core Inflation จาก Core CPI ประกอบการพิจารณา แทนที่จะใช้ Headline Inflation (ตัวซึ่งมีความผันผวนมากกว่า)

 

 

หรืออีกนัยหนึ่ง คือ การใช้ Core CPI คือ การไม่สนใจราคาสินค้าส่วนใหญ่ที่ขายกันตลาดสด (ที่เป็นประเด็นถกเถียงกัน ณ ขณะนี้) เนื่องจากเป็นการยึดในหลักการที่ว่า หากนำราคาของสินค้าหมวดอาหารสดที่มีความผันผวนมาก (เนื่องด้วยปัจจัยภายนอกและฤดูกาล) มาร่วมพิจารณาด้วยแล้ว อาจจะนำไปสู่ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินที่บ่อยครั้งเกินไปได้

 

 

อย่างไรก็ดี ตัวเลขของ CPI และ Headline Inflation จะถูกใช้กันมากในฐานะเป็นตัวแทนของระดับราคาค่าครองชีพ และอัตราการปรับตัวของราคาค่าครองชีพ อาทิเช่น ในสหรัฐ ตัว Headline Inflation นี้ถูกผูกไว้ในสูตรของการปรับขึ้นของเงินประกันสังคม หรือถูกผูกไว้ในสูตรการคำนวณผลตอบแทนของ Treasury Inflation Protected Securities (TIPS) เช่นเดียวกันกับผลตอบแทนของ “พันธบัตรเงินเฟ้อ” ที่ออกโดยกระทรวงการคลังบ้านเรา

 

ท้ายนี้ จะเห็นได้ว่าการปรับตัวขึ้นลงของ CPI ทั้งในส่วนของ Headline หรือ Core ล้วนจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสิ้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม การคำนวณค่า CPI ทั้งในส่วนของวิธีการคำนวณและการได้มาของข้อมูล จึงมีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างกระทรวงพาณิชย์ต้องว่าไปตามข้อเท็จจริงตามหลักวิชาการ ทั้งยังต้องเป็นกลางและหนักแน่น โดยไม่ไปสนใจต่อกระแสใดๆ ที่อาจปรับเปลี่ยนไปได้อยู่ตลอดเวลา