การปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบที่ 3

การปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบที่ 3

นิตยสารรายสัปดาห์ The Economist 2 ฉบับที่ผ่านมามีบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจโดยเฉพาะที่วิเคราะห์ถึง การปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบที่ 3

ที่ The Economist สรุปว่า กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกในทิศทางที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกนั้นเกิดขึ้น 200 ปีที่แล้ว โดยสาระสำคัญ คือ การประดิษฐ์เครื่องจักร (ในขั้นแรกคือเครื่องจักรไอน้ำ) เพื่อทดแทนแรงงานของมนุษย์ ทำให้เกิดการสร้างโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง (mechanization) เพื่อให้คนงานจำนวนมากต้องมาทำงานร่วมกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำลายการผลิตในระดับครัวเรือน (cottage industry) เพิ่มผลผลิตและความสำคัญของภาคอุตสาหกรรม ทำให้ภาคเกษตรกรรมตกต่ำลงในเชิงเปรียบเทียบ ตลอดจนเพิ่มความสำคัญของเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์การผลิตเมื่อเปรียบเทียบกับการกระจายการผลิตในภูมิภาค
 

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองเกิดขึ้นประมาณ 80 ปีที่ผ่านมา จากการปฏิรูปทางการผลิตของ Henry Ford ที่เป็นการแบ่งกันประกอบและเน้นการผลิตจำนวนมากเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วยให้ต่ำ (moving assembly line และ mass production) ทำให้สรุปได้ว่าโรงงานยิ่งมีขนาดใหญ่ก็จะยิ่งได้เปรียบ หรือ economy of scale ทำให้เกิดบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีโรงงานการผลิตขนาดใหญ่ทั่วโลก ตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุด คือ บริษัทรถยนต์ข้ามชาติ ซึ่งผลิตรถยนต์รุ่นหนึ่งปีละหลายแสนคัน เพื่อให้ต้นทุนการผลิตต่ำที่สุด ทำให้ปัจจุบันมีบริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่เพียงสิบกว่าบริษัทและยากที่จะเห็นบริษัทรถยนต์ขนาดเล็กสามารถมาแข่งขันได้ (บริษัทเล็กเช่น Volvo และ Saab ถูกควบรวมและ/หรือปิดตัวลง)
 

ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ The Economist กล่าวถึงว่า กำลังจะเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นเป็นการผลิตที่นำเอาเทคโนโลยีมาปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการตลาดครั้งใหญ่ โดยในอนาคต Economist เชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจาก economy of scale เป็น economy of speed และจาก mass production เป็น mass customization แปลว่าการผลิตในอนาคตจะเป็นการผลิตที่ไม่ต้องผลิตจำนวนมาซ้ำซาก แต่จะสามารถผลิตสินค้าที่มีความแตกต่างกัน ตรงตามความต้องการของลูกค้าทุกคนทุกประการ นอกจากนั้น เนื่องจากปริมาณการผลิตต่อโรงงานไม่สูงมาก ก็แปลว่าสามารถที่จะลดขนาดโรงงานลงและที่สำคัญจะต้องย้ายโรงงานไปตั้งอยู่กับฐานลูกค้าในแต่ตลาดเพื่อที่จะสามารถตอบสนองความต้องการที่ปรับเปลี่ยนไปของผู้บริโภคในแต่ละตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
 

Economist ยกตัวอย่างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ คือ เครื่องพิมพ์สามมิติ (3D printing) ซึ่งสามารถ “พิมพ์” ค้อน 1 ชิ้นออกมาได้ตามความต้องการของลูกค้าทุกประการ และหากมีลูกค้าอีกรายหนึ่งต้องการค้อน 1 ชิ้นที่มีลักษณะแตกต่างจากลูกค้าคนแรกก็จะสามารถสั่งเครื่องพิมพ์ให้ปรับมิติต่างๆ ของค้อนได้ตามที่ต้องการในทันทีและหากมีลูกค้าคนที่ 3 ต้องการค้อนอีกลักษณะหนึ่งก็จะสามารถสั่ง “พิมพ์” ออกมาได้ทันทีเช่นกัน ตรงนี้แตกต่างจากการผลิตค้อนในปัจจุบันที่จะต้องมีการผลิตชิ้นส่วนหลายชิ้นและนำมาประกอบเป็นค้อนหนึ่งชิ้น ดังนั้น หากจะสั่งให้ทำค้อนดังกล่าวเพียง 1 ชิ้น ก็จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะรายได้แตกต่างจากการใช้เครื่องพิมพ์สามมิติดังกล่าวข้างต้น นอกจากนั้นแล้วเครื่องพิมพ์ที่ว่านี้จะใช้แรงงานน้อยมากคือ ใช้คนมาปรับแบบ เปิด-ปิดเครื่อง และเติม “หมึก”  (วัตถุดิบ) เท่านั้น ในรายละเอียดนั้นผมขอให้ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถอ่านบทความดังกล่าวเพิ่มเติมในรายละเอียดได้ แต่ ผมจะขอกล่าวเพิ่มเติมว่าหากเปลี่ยนตัวอย่าง “ค้อน” เป็นชิ้นส่วนเฉพาะอย่างของรถยนต์เช่นที่เปิดประตูรถยนต์หรือชิ้นส่วนช่วงล่างของรถยนต์ก็จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการนี้ จะทำให้สามารถจะสร้างรถยนต์แบบทำด้วยมือ (handmade ไม่ใช่แบบประกอบในโรงงานขนาดใหญ่) สามารถทำได้โดยต้นทุนต่อหน่วยต่ำ และราคาต่อหน่วยจะลดลงจากปัจจุบันที่ 10-20 ล้านบาทต่อคัน เป็นต้น  
 

นอกจากนั้นแล้ว The Economist ยังชี้ให้เห็นว่า วัสดุปัจจุบันนั้นเบากว่า แข็งแรงกว่าและคงทนกว่า วัสดุในอดีตเช่น carbon fiber ซึ่งผลิตได้ง่ายกว่า เบากว่าและแข็งแรงกว่าอะลูมิเนียม ทำให้จักรยานภูเขาปัจจุบันลดการใช้อะลูมิเนียมและหันมาใช้ carbon fiber มากขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่จะทำให้การผลิตทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และใช้คนงานจำนวนน้อยลง อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การจำแนกต้นทุนการผลิตของ Ipad ที่มีราคาขาย 499 ดอลลาร์นั้น (ตาราง) ต้นทุนจากแรงงานนั้นต่ำมากและผลตอบแทนหลัก คือ กำไรหรือรางวัลสำหรับผู้ที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ไม่ใช่ผู้ที่ลงแรงผลิตสินค้า
 

ในเมื่อจำนวนแรงงานมีความสำคัญลดลงก็มีการคาดการณ์กันว่าการผลิตจะย้ายฐานจากประเทศกำลังพัฒนากลับไปที่ประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้นในอนาคต วิวัฒนาการที่ทำให้แรงงานมีผลิตผลเพิ่มขึ้นได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นโรงงานผลิตรถยนต์ของนิสสันที่ Sunderland ประเทศอังกฤษ นั้นในปี 1999 ผลิตรถยนต์ 271,157 คันโดยใช้คน 4,594 คนแต่ในปี 2011 นั้นสามารถผลิตรถยนต์ได้ 480,485 คัน โดยมีคนงานเพียง 5,462 คน บริษัท Boston Consulting Group ประเมินว่า 10-30% ของสินค้าประเภทการขนส่ง (รถยนต์) คอมพิวเตอร์และเครื่องจักรที่สหรัฐนำเข้าจากจีนในปัจจุบันจะถูกย้ายกลับมาผลิตในสหรัฐอเมริกาภายในปี 2020 เพราะต้นทุนการผลิตจีนที่เพิ่มขึ้น วิวัฒนาการทางการผลิตที่ลดการใช้แรงงานลง และเพราะธุรกิจควรที่จะมีแหล่งผลิตที่ใกล้ชิดกับฐานลูกค้ามากขึ้น ผลที่จะตามมา คือ จีดีพีของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นปีละ 20,000-55,000 ล้านดอลลาร์
 

มุมมองอีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจของ The Economist คือ การเตือนว่ารัฐบาลจะพยายามเลือกธุรกิจที่มองว่าเป็น “ผู้ชนะ” (Champion) หรือธุรกิจที่จะรุ่งเรือง (winner) ซึ่งตัวอย่างในอดีตรัฐบาลมักจะทำได้ไม่ดี ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและสลับซับซ้อนในอนาคตย่อมจะหมายความว่ารัฐบาลจะยิ่งมีโอกาสผิดพลาดสูง โดยเฉพาะในยุคที่การผลิต การสื่อสารและการขนย้ายของทุนสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและไร้พรมแดน ดังนั้น รัฐบาลจึงควรจำกัดบทบาทของตนให้อยู่ในเรื่องของการส่งเสริมปัจจัยพื้นฐานให้แข็งแกร่ง ได้แก่ ทำให้โรงเรียนมีคุณภาพ แรงงานมีทักษะและกฎหมาย (ในการทำธุรกิจ) มีความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยปล่อยให้การเสี่ยงทำธุรกิจเป็นเรื่องของภาคเอกชนเป็นหลักครับ