Crypto และ Metaverse ดาวรุ่ง หรือ ดาวร่วง ต่อไปในทศวรรษหน้า
ไม่นานมานี้ ได้มีข่าวร้ายที่เกี่ยวข้องกับทั้ง Cryptocurrency และ Metaverse ที่เป็นการสวนทางโดยสิ้นเชิงกับกระแสของความตื่นเต้น (Hype) ที่มีกับ 2 เทคโนโลยีนี้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว
ซึ่งหากตัด AI ออกไป ก็คงจะไม่มีอะไรในโลกเทคโนโลยีดิจิทัลที่สังคมจะ Hype ไปมากกว่าเรื่องราวของ Cryptocurrency และ Metaverse แล้ว
ล่าสุด ได้มีข่าวการล่มสลาย ของ FTX ซึ่งเป็น Crypto Exchange ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และมีข่าวของการปลดพนักงานของบริษัท Meta 11,000 คน ที่ถึงแม้ Mark Zuckerberg จะไม่ได้ยอมรับ แต่ก็เป็นที่วิจารณ์โดยทั่วไปว่าเป็นผลมาจากการลงทุนอย่างมหาศาลในเทคโนโลยี Metaverse
อย่างไรก็ดี ในความคิดของผู้เขียนเอง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความผิดพลาดหรือกระทั่งจุดจบของทั้งสองเทคโนโลยี แต่กลับเป็นผลข้างเคียงจาก Hype ที่ตามต่อด้วย Bubble
ผู้เขียนเคยผ่านช่วงเวลาของ Dot-Com Bubble มาแล้ว ในช่วงเวลานั้น ตลาดหุ้น Nasdaq โตขึ้น 400% และได้ Crash ลงมา 78% ซึ่งตามด้วยการล่มสลายของ Dot-Com ซึ่งเป็นธุรกิจ Startup ในสมัยนั้น อย่างเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เราก็ได้ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมา 20 ปีแล้ว และดัชนีของ Nasdaq ในปัจจุบันก็สูงกว่า ดัชนีของ Nasdaq ในช่วงที่สูงที่ของ Dot-Com มากกว่า 2 เท่า
ในความคิดของผู้เขียนเอง Dot-Com Bubble ไม่ได้เป็นความผิดพลาดหรือกระทั่งจุดจบของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาในช่วง Dot-Com อาทิ อินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ อีคอมเมิร์ซ อีเมล์ แชท เป็นต้น แต่เป็นผลข้างเคียงจาก Hype และความโลภที่เข้ามาอย่างบ้าระห่ำ
แม้ในทุกวันนี้ เราก็ยังคงใช้เทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นมาในช่วง Dot-Com ที่ทำให้เกิด Digital Disruption ในเกือบทุกอุตสาหกรรม และยังมีการต่อยอดไปสู่เทคโนโลยีใหม่ๆ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
สถานการณ์ของ Cryptocurrency และ Metaverse ในความคิดของผู้เขียนเอง ไม่มีความแตกต่าง กับกรณี Dot-Com Bubble
และต้องอย่าลืมว่า ในกรณีของ Cryptocurrency การที่ราคาร่วงหรือเกิดการล่มสลายของ Exchange ล้วนเป็นผลข้างเคียงจาก Hype และความโลภของมนุษย์ แต่เทคโนโลยีของ Cryptocurrency ยังไม่ได้มีอะไรที่ผิดพลาดเลย
“Bitcoin ก็ยังคงเป็นสกุลเงินเข้ารหัส ที่ไม่มีรัฐบาลหรือแบงค์ชาติ ใดๆ ที่สามารถเข้ามา Manipulate Supply และพิมพ์เพิ่มได้”
คุณสมบัติตาม Paper ของ Satoshi Nakamoto ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงและยังไม่มีข้อผิดพลาดทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น และวัตถุประสงค์ของ Satoshi Nakamoto ไม่มีตรงไหนเลย ที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นเศรษฐีข้ามคืน
ในกรณีของ Metaverse อาจเป็นการลงทุนที่เร็วเกินไป อันเนื่องมาจาก Hype อีกเช่นกัน แต่เทคโนโลยีในกลุ่มของ Metaverse ได้มีการพัฒนามาหลายทศวรรษแล้ว และก็จะมีการพัฒนาอีกต่อไป เพียงแต่ผลสำเร็จอาจไม่ได้อยู่กับบริษัทที่เป็นข่าวอยู่ในปัจจุบัน และอาจมากับธุรกิจหรือ Startup รายอื่น ในรูปแบบอื่น ก็เป็นได้
สำหรับคนที่อยู่ในวงการเทคโนโลยีมานาน ย่อมจะรู้ดีกว่า ความจริงแล้ว Metaverse ไม่ใช่อะไรใหม่ที่เลย นอกเหนือจากการที่เปลี่ยนชื่อจนเกิดเป็น Hype ขึ้นมาเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นโลกเสมือนจริง (Virtual World) ความเป็นจริงเมือน (Virtual Reality) หรือ ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) ที่เป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน ก่อนที่จะถูกเรียกเหมารวมเป็น Metaverse ต่างก็มีการพัฒนามาหลายทศวรรษแล้ว และก็จะมีการพัฒนาอีกต่อไป
แม้แต่ Apple บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ได้มีข่าวลือว่าจะเปิดตัว Apple AR/VR ในเร็ววันนี้ จึงเป็นที่น่าติดตามว่า ความสำเร็จของ Metaverse อาจจะตกอยู่กับ Apple ก็เป็นได้
ในโลกของเทคโนโลยี Hype และความโลภได้เกิดขึ้นมาทุกยุกทุกสมัยแล้วด้วย Hype กับความโลภเหล่านี้ทำให้เพิ่มอัตราเร่งของลงทุนและพัฒนาในทางกลับกันก็ต้องคาดหวังด้วยว่า Bubble ก็จะตามมาทุกครั้งหลังจากที่มี Hype เพียงแต่ว่า Bubble ไม่ได้ความว่าต้องเป็นจุดจบเช่นเดียวกับ Dot-Com Bubble ก่อนหน้านี้ ที่ไม่ได้เป็นจุดจบเทคโนโลยีพื้นฐานของ Cryptocurrency และ Metaverse ก็ยังไม่ได้มีข้อผิดพลาด
ดังนั้น เทคโนโลยีของ Cryptocurrency และ Metaverse ย่อมจะเดินหน้าต่อไปแต่ต้องทำความเข้าใจกับวัถตุประสงค์ที่แท้จริงของเทคโนโลยี