ช๊อค กับ โช๊ค

ประเทศไทยไม่ใช่ต้นกำเนิดของรถยนต์ ดังนั้นคำศัพท์ที่ใช้กับรถยนต์จึงต้องแปลเป็นภาษาไทย หรือหลายคำก็ต้องใช้ทับศัพท์กันไปด้วยความเคยชิน บางคำก็เรียกตามภาษาอื่น ที่เจ้าของภาษาเขาแปลมาจากต้นกำเนิดอีกทอดหนึ่ง
เช่นในยุคเริ่มต้นของรถยนต์ในไทยนั้น ช่างซ่อมหรือผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์และเครื่องจักร มักจะเป็นคนจีนกวางตุ้ง
ครอบครัวผมประกอบอาชีพทำโรงสีข้าว ที่ใช้พลังงานจากไอน้ำมาขับเคลื่อนเครื่องจักร แบบที่เรียกกันว่าโรงสีไฟซึ่งมีปล่องเป็นอิฐแดงก่อขึ้นไปสูงๆ เวลาที่จะต้องซ่อมบำรุงจะต้องว่าจ้างนายช่างใหญ่ที่เป็นคนจีนกวางตุ้งมาควบคุม นายช่างใหญ่ที่ว่าจะเรียกกันว่า “อีเนียร์” ซึ่งมาจากคำว่าเอนจีเนียร์หรือวิศวกร หรือคนไทยโบราณเรียกแบบไทย ๆ ว่าอินทะเนีย
หรือเครื่องมือที่ใช้ขันน๊อตและสกรูต่างๆ ภาษาไทยเรียกว่า “ไขควง” แต่อีเนียร์กวางตุ้งเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรียกว่า “สกรูไดรฟ์เวอร์” แต่พอออกสำเนียงแบบกวางตุ้ง จึงกลายเป็น “สะกรูไล” แล้วคนไทยจำนวนไม่น้อยก็เรียกตามว่า “สะกรูไล” ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาการเรียกขานอุปกรณ์ หรือเครื่องมือแบบที่เล่ามานั้น ก็เป็นที่เข้าใจและรู้เรื่องตรงกัน แต่เมื่อโลกเรามีการติดต่อสื่อสารกันใกล้ชิดขึ้น บวกกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยเจริญเติบโตมากขึ้น การสื่อสารที่ถูกต้องและชัดเจนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ผมมีเรื่องที่เรียกว่า “ปล่อยไก่” จากการสื่อสารภาษาแบบที่คนไทยคุ้นเคย กับฝรั่งที่ใช้ภาษาต้นกำเนิดของอุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์ ซึ่งผมเคยเล่าในที่สาธารณะเพื่อเป็นบทเรียนให้คนไทยเรา ที่ต้องทำงานหรือประสานงานกับคนต่างชาติได้รับรู้ เพื่อเตือนตัวเองเสมอว่าเราต้องปรับการเรียกขานของเราบ้าง ถ้าเราอยากเป็น “ดีทรอยท์ ออฟ เอเซีย” หรืออยากเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคนี้
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อราว ๓๐ ปีที่แล้ว ผมได้รับเชิญจากบริษัทรถยนต์ยุโรปไปร่วมทดสอบรถยนต์รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว พอถึงวันสุดท้ยก็จะงานเลี้ยงอาหารค่ำจะมีวิศวกรมานั่งแทรกอยู่ด้วย เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูล
ในช่วงเวลานั้นอุปกรณ์สำหรับซึมซับแรงสั่นสะเทือนที่คนไทยเรียกกันว่า “โช๊ค” หรือ “โช๊คอัพ” กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนเทคโนโลยี จากการทำงานแบบไฮดรอลิคด้วยการพึ่งพาอาศัยน้ำมันเป็นหลัก มาเป็นการใช้แก๊สเข้ามาทำงานร่วมด้วย หรือเป็นแบบที่คนไทยเรียกกันว่า “โช๊คแก๊ส”
ระหว่างที่พูดคุยกันนั้นผมก็แสดงความอวดรู้ขึ้นมา ด้วยการถามวิศวกรฝรั่งที่นั่งร่วมโต๊ะว่า “รถยนต์รุ่นใหม่คันนี้ โช๊ค ทำงานด้วยระบบไฮดรอลิคแบบน้ำมันหรือแก๊ส” ฝรั่งเยอรมันทำหน้างงไปสักสามสี่วินาที ก่อนจะถามผมกลับมาว่า “ว้อท อีส โช๊ค” ผมก็พยายามใช้ภาษาอังกฤษแบบงูๆปลา ๆ สเนค ๆ ฟิช ๆ อธิบาย แต่อธิบายเท่าไหร่วิศวกรก็ไม่เข้าใจ
ที่สุดจึงต้องจูงมือกันไปที่รถ ซึ่งเขาเอามาจอดไว้รอบห้องอาหาร แล้วเขาก็หันมาบอกผมว่า “ชี้ให้ดูหน่อย ว่าอุปกรณ์ตัวไหนที่คุณเรียกว่าโช๊ค” เมื่อได้ยินคำถามผมรู้ทันทีว่าคำที่ผมใช้เรียกนั้น ทำให้เขาเข้าใจผิดไปจริง ๆ เพราะชิ้นส่วนที่ผมและคนไทยทั่วไปเรียกว่า ”โช๊ค“ นั้น ในภาษาอังกฤษต้นศัพท์คือ ช๊อค แอพซอบเบอร์ ( Shock Absorber ) โดยมีที่มาจากต้นศัพท์คือ Shock หมายถึงการสั่นสะเทือน Absorber หมายถึงตัวที่มีความสามารถในการซึมซับหรือดูดซึม และคนไทยเราเรียกสั้นตามสำเนียงไทยมาตลอดว่า ”โช๊ค“ หรือ ”โช๊คอัพ“
ในขณะที่มีการทำงานหรือเป็นกริยาของอุปกรณ์อีกตัวหนึ่งที่ภาษาอังกฤษต้นทางเรียกว่า ”โช๊ค“ หรือ ( Choke ) หมายถึงการที่กระเดื่องหรือลิ้น ปิดหรือเปิดเพื่อทำให้อากาศไหลผ่าน มากหรือน้อยตามต้องการ คนไทยเรียกวิธีการทำงานของกระเดื่องนั้นว่า ”โช๊ค“ หรือ ”เปิดโช๊ค, ปิดโช๊ค“ ซึ่งบางครั้งก็ใช้อุ้งมือทำหน้าที่ปิดหรือเปิดช่วยกระเดื่องนั้นด้วย แล้วยังเป็นสะแลงที่ใช้กับวิธีการสูบบุหรี่แบบรีบเร่ง สูบแบบถี่ๆรัวๆ หรือสูบแบบลึกๆ เพื่อได้ควันมาก ๆ ว่า ”โช๊ค“
ทันที่ผมรู้ตัวว่าผิดพลาดผมก็รีบบอกว่า ”ขอโทษที ผมหมายถึง ช๊อคแอบซอบเบอร์ ไม่ได้หมายถึง โช๊ค“ ทำให้สามารถพูดคุยและฟังคำอธิบายได้เข้าใจมากขึ้น
กลับจากเยอรมนีในครั้งนั้น ผมก็เริ่มเขียนบทความด้วยการใช้คำว่า ”ช๊อคแอบซอร์บเบอร์ หรือ ช๊อค“ ทำให้มีคนไม่น้อยนินทาผมว่า”ดัดจริต“ แต่ผมก็มิได้ใส่ใจ เพราะต้องการให้คนไทยที่ทำงานด้านรถยนต์ ซึ่งไทยกำลังเปิดกว้างกับคนชาติต่าง ๆ มากขึ้น ได้สื่อสารกันอย่างเข้าใจตรงกันโดยไม่ผิดพลาด
ผมพูดถึงต้นเหตุของการเรียกขานค่อนข้างยาว เพราะมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งถามมาว่า ใช้รถยนต์น้อยมาก ซื้อมา ๔ ปีแต่เพิ่งใช้งานผ่านไปได้แค่ ๑ หมื่น กม. นำรถไปตรวจตามปรกติ ช่างแจ้งว่าช๊อคแอบซอร์บเบอร์เสีย ๑ ตัว แต่ต้องเปลี่ยนอย่างน้อย ๒ ตัว เจ้าของคำถามสงสัยว่า รถยนต์ที่ใช้งานน้อยทำไมเสียง่ายจัง และหากเสียจริงๆ ทำไมช่างถึงให้เปลี่ยนอย่างน้อย ๒ ตัว ทั้งที่เสียหายเพียงแค่ตัวเดียว
คำอธิบายจากคำถามแรกก็คือ ความเสียหายไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาหรือระยะทาง สิ่งสำคัญคือการใช้งาน ถ้าเป็นรถยนต์ที่บรรทุกน้ำหนักมาก ๆ เป็นประจำ หรือต้องวิ่งในเส้นทางที่ขรุขระมาก ๆ เป็นประจำ ก็มีโอกาสที่จะเสื่อมประสิทธิภาพเร็วขึ้น ยิ่งถ้าต้องจอดบนพื้นที่ซึ่งพื้นไม่ราบเสมอกัน และมีน้ำหนักบรรทุกอยู่บนรถเป็นประจำเวลาที่รถจอด ก็จะชำรุดเร็วขึ้น
สิ่งที่จะทำให้สังเกตว่าช๊ลเสื่อมสภาพก็คือ มีน้ำมันเยิ้มซึมออกมา รถยนต์มีอาการโคลงเคลงโยนตัวไปมาผิดมากปรกติ เมื่อผ่านพื้นถนนที่มีความขรุขระ, เมื่อผ่านคอสะพานที่มีองศาการหักชันมาก รถจะมีอาการโยนตัวแฉลบไปมา จนยากที่จะควบคุม หรือมีเสียงดังกึงกังเมื่อรถแล่นผ่านถนนที่ขรุขระ
ส่วนคนที่มีความรู้หรือมีประสบการณ์ด้านช่างยนต์บ้าง ก็จะสามารถตรวจสอบได้ด้วยการใช้มือและน้ำหนักตัวกดลงไปที่มุมของตัวถังรถทั้ง ๔ ด้าน แล้วสังเกตการกระเด้งขึ้นลงของตัวรถ ถ้าขึ้นลงหลายรอบ หรือเด้งขึ้นลงมากเกินกว่าปรกติ ก็คาดเดาเอาไว้ก่อนว่าเสื่อมสภาพ
สิ่งบอกเหตุว่าเสื่อมอีกประการหนึ่งก็คือ การสึกของยางผิดปรกติ ไม่ว่าจะเป็นการสึกแบบรอยบั้งทั้งขอบยางด้านนอกและด้านใน หรือสึกเป็นรอยบั้งเฉพาะด้านในด้านหนึ่ง หรือสึกเป็นรอยบั้งที่บริเวณกลางหน้ายาง
คำถามที่ว่าเมื่อช๊อคแอบซอร์บเบอร์เสื่อม หรือชำรุดเพียงแค่ต้นเดียว สามารถเปลี่ยนเพียงแค่ต้นที่เสื่อมหรือชำรุดได้ไหม คำตอบก็คือสามารถเปลี่ยนได้ แต่การทรงตัวของรถ และการซึมซับแรงสั่นสะเทือนจะไม่ได้ดุล เพราะในขณะที่ช๊อคแอบซอร์บเบอร์ด้านซ้ายมีความหนืดมากกว่าด้านขวา การโยนตัวและยุบตัวของตัวถังรถก็จะไม่เท่ากัน ทำให้ควบคุมรถได้ยากขึ้น
จึงควรที่จะเปลี่ยนเป็นคู่ เช่นคู่หน้าหรือคู่หลังพร้อมกัน หรือจะนำไปทำการซ่อมแบบที่เรียกว่า “อัดโช๊ค” ก็ได้ เพราะช่างไทยในปัจจุบันสามารถซ่อมและรับแต่งให้มีประสิทธิภาพในระดับที่ไว้ใจได้
การเปลี่ยน ควรบอกช่างให้รู้ว่ายังพึงพอใจกับช๊อคแอบซอร์บเบอร์ที่ติดรถมาแต่ดั้งเดิม หรือต้องการให้มีการทรงตัวที่ไว้ใจได้แบบที่เรียกกันว่าเฟิร์มขึ้นกว่ามาตรฐาน หรือต้องการความนุ่มนวลกว่าเดิม ผู้ขายหรือช่างจะได้จัดให้ได้ถูกใจครับ







