บทเพลง...บำบัด ในช่วงอึดอัดกับโควิดและล็อกดาวน์
การแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 บานปลายไปทั่วกรุงเทพฯ และลามออกไปสู่ปริมณฑล รวมทั้งยังกระจายตามภาคต่างๆ
มาตรการ 14 วัน ปิดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ พร้อมกับปรับเวลาเปิด-ปิด ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 12 ก.ค.2564 กิจกรรมสาธารณะ อีเวนท์ต่างๆ ถูกยกเลิก ร้านค้าเงียบเหงา ธุรกิจหยุดชะงัก ผู้บริโภคในประเทศเองก็ตระหนกตกใจกลัวจนจะเป็นโรคประสาท เพียงแค่ ได้ยินเสียงไอเสียงจามก็ขวัญกระเจิง เครียดกันไปหมด สำคัญที่สุดไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์จะจบเมื่อไหร่ จะลากยาวไปถึงไหน ทุกข์สาหัสอัดอั้น อีกนานเท่าไร !!!!
‘เพลง’ หนทางบรรเทาทุกข์
ไม่ว่ากับใครหรือสถานการณ์ใดก็ตาม การปลดปล่อยความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญ เพลงจึงเป็นเครื่องมือที่มักเราใช้ในการปลดปล่อยได้ดี จะเห็นว่า เศร้าก็จะไปฟังเพลง โกรธก็จะฟังเพลง เสียใจก็พึ่งหาเพลง เพลงและดนตรีจึงเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการแบ่งปันความรู้สึกสำหรับทุกคน เวลาเรามีความกังวลหรือความหดหู่ เพราะนึกถึงอนาคตที่คาดเดาไม่ได้ สิ่งเดียวที่เราทำได้คือเอนจอยกับเพลง แล้วแอคทีฟ ขยับตาม มันจะทำให้เราอินกับเพลง สมองจะหลั่งสารเคมีในสมองที่ทำให้เรารู้สึกดี เป็นสารที่ทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจ
ยิ่งมืด...ยิ่งเห็นดวงดาว
แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤติแต่ทุกสถานการณ์ย่อมมีความหวัง ยิ่งในช่วงมืดมิด เราอาจไม่เห็นแสงสว่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า แสงสว่างไม่มีอยู่จริง บางทีมันอาจเป็นเพียง “ความมืดมิดที่บังตา” เราก็ได้ ดังนั้น จงมองหาแสงสว่างอยู่เสมอ เพราะมันจะทำให้คุณ “มีความหวัง” สอดรับกับท่อนหนึ่งของ บทเพลงของ ดิว อรุณพงศ์ “ยิ่งมืด..ยิ่งเห็นดวงดาว” ที่ว่า “เพราะเธอเป็นเหมือนดวงดาว ที่คอยส่องแสงพร่างพราว ชัดเจนสว่างไม่จางหายไป ต้องรอ แสงไฟมืดมิดลงไป ฉันจึงจะได้เข้าใจ ว่ายังเหลือใคร ยิ่งมืดเท่าไร ยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจน ต้องรอ แสงไฟมืดมิดลงไป ฉันจึงจะได้เข้าใจ ว่ายังเหลือใคร...ยิ่งมืดเท่าไร ยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจน”
ให้มันเป็นไป
แล้วระหว่างที่มองหาแสงสว่างและความหวัง ใจต้องปล่อยวางแล้วให้มันเป็นไป...(วสันต์-อัสนี โชติกุล) “เมื่อมีบางครั้งที่ยังเสียดาย สิ่งมุ่งหมายไม่ได้ดั่งใจ คนเราก้าวเดินต่อไปไม่ย่อท้อเมื่อมีวันนี้ ก็มีเมื่อวาน อยู่อย่างนั้น ไม่น่าแปลกใจ เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป ไม่หยุดเดิน เมื่อมีอะไรที่ยังวู่วาม เก็บคำถามนั้นไว้อีกที แล้วคิดเอาเองดีๆ อีกสักครั้ง จะมีอะไร ที่จะน่ากลัว เท่ากับตัวเราคิดมากไป เฉยๆ ให้มันเป็นไป **ให้มันเป็นไป ทุกคนคงเข้าใจได้ ให้มันเป็นไป ทุกคนเราเข้าใจอยู่ ให้มันเป็นไป เป็นไรเรื่องจุดหมาย จะโชคร้าย ก็ไม่เสียดาย เป็นไรก็เป็น ไม่เห็นเป็นไป ** จะมีอะไร ที่จะต้องทน ถ้าหากคน เราจนจิตใจ คิดๆแล้วค่อยเป็นไป ปล่อยไว้ตามสบายดีกว่า”
ในยามที่ท้อแท้...กำลังใจ
บรรยากาศ ช่วงนี้ เมื่อปล่อยวางจาก “ให้มันเป็นไป” ก็ควรต่อด้วยเพลง “กำลังใจ” ของน้า วิสา คัญทัพ “ในยามที่ท้อแท้ ขอเพียงแค่คนหนึ่ง จะคิดถึง และคอยห่วงใย ในยามที่ชีวิต หม่นหมองร้องไห้ ขอเพียงมีใคร ปลอบใจสักคน ในวันที่โลกร้าง ความหวังให้วาดมันขาดมันหาย ใครจะช่วยเติม เพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม ต่อสู้อีกครั้ง บนหนทางไกลกำลังใจ จากใครหนอ ขอเป็นทาน ให้ฝันให้ใฝ่ ให้ดวงใจ ลุกโชนความหวังกำลังใจ จากใครหนอ ขอเป็นทาน ให้ฉันได้ไหม ดั่งหยาดฝน บนฝากฟ้าไกล ที่หยาดริน สู่พื้น ดินแห้งผาก"
ขอมอบดอกไม้...เป็นกำลังใจ
จบจาก “กำลังใจ” คงต้องหันไปคว้าบทเพลง ประเภท ดอกไม้ในสวน หรือ ดอกไม้ให้คุณ ของคุณน้า หงา คาราวาน มาให้กำลังใจกันต่อ อย่างน้อยก็พอให้เกิดอารมณ์-ความรู้สึกไปในแนว “ขอมอบความหวัง- ได้บ้าง
“ขอมอบดอกไม้ ในสวน นี้เพื่อมวล ประชา จะอยู่ แห่งไหน จะใกล้จะไกล จนสุดขอบฟ้า ขอมอบ ความหวัง ดั่งดอกไม้ ผลิ สดไสวงามตา เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ เป็นสิ่งเสนอให้มาดวงตะวัน ทอแสง มิถอยแรง อัปรา เป็นเปลวไฟที่ไหม้นาน เป็นสายธารที่ชุ่มป่า เป็นแผ่นฟ้า ทานทน ขอมอบดอกไม้ ในสวน ให้หอมอบอวล สู่ชน จงสบสิ่งหวัง ให้สมตั้งใจ ให้คลายหมองหม่น ก้าวต่อไปตราบชีวิตสุด ดุจกระแสชล เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ เป็นสิ่งเสนอให้คุณ”
ความหวังใหม่สู่ความสดใส
ปิดท้ายด้วย ความหวังใหม่ (กำลังใจ 2) เบิร์ด ธงไชย เรียบเรียงโดย สมชาย กฤษณะเศรณี/เรวัต พุทธินันทน์ “ในบางเวลา เราเหมือนคนอ่อนแอ อยากจะยอมแพ้ทุกสิ่งไป ในบางเวลาเราก็เคยสุขใจ ปนเปกันไปไม่แน่นอน ทุกข์ร้อนฉันจึงยอมทน เรียนรู้และดิ้นรนกันต่อไป วันคืนคงไม่นานเท่าไหร่ ความหวังฉันยังมี อยู่เต็มหัวใจ สู่ชีวิตใหม่ จิตใจฉันพร้อมจะเดิน ฉันพร้อมจะไป กับความหวังใหม่สู่ความสดใส”