อย่าให้ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นทำลายธุรกิจ
โควิด-19 ทำให้ธุรกิจต้องทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น หลายแห่งที่คิดว่าพร้อม พอเอาเข้าจริงก็ยังตอบไม่ค่อยได้ว่าต้องทำยังไงถึงจะพลิกโฉมธุรกิจได้
การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น เป็นการพลิกโฉมธุรกิจให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และเป็นโจทย์ปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องระดับชาติ แต่เป็นปัญหาระดับโลก ผลการศึกษาในหลายประเทศพบว่า พบว่าธุรกิจที่พยายามปรับตัวมีโอกาสประสบความสำเร็จเพียงประมาณ 1 ใน 4 เท่านั้นเอง ยิ่งถ้าเป็นการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น โอกาสสำเร็จก็ยิ่งมีน้อยกว่านี้อีก เฉพาะในสหราชอาณาจักรที่เดียว ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวนี้มีมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
ความล้มเหลวนี้เกิดจากเหตุผลสำคัญ 4 เรื่องด้วยกัน
เรื่องที่ 1 ล้มเหลวเพราะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
ความน่ากลัวของกระแสดิจิทัลที่มาพร้อมกับโลกยุค 4.0 คือ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วมาก จนทำให้รู้สึกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนตามให้เร็วก็จะไม่สามารถแข่งกับคนอื่นเขาได้ ความคิดแบบนี้เองที่ทำให้เราเลือกเทคโนโลยีใหม่มาใช้แบบตามกระแส ใครใช้อะไรแล้วเห็นว่าดีก็เอามาใช้เหมือนเขา โดยไม่คิดให้ดีว่าเทคโนโลยีที่คนอื่นเขาใช้กันอยู่เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองแค่ไหน พอไม่ได้เลือกให้เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง เงินที่ลงทุนไปก็สูญเปล่า
เรื่องที่ 2 ล้มเหลวเพราะมีแผนแต่ไม่มีวิธีการที่ดีในการทำตามแผน
แม้ว่าจะสามารถระบุได้ว่าเทคโนโลยีแบบไหนเหมาะกับธุรกิจของตนเอง ก็ยังมีธุรกิจไม่น้อยที่ตกม้าตายเพราะมีแต่แผน ขาดวิธีการในการทำตามแผน ไม่รู้จักการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังว่า ต้องเริ่มจากที่ไหนก่อน การปรับตัวในส่วนไหนจะเป็นพื้นฐานในการรองรับการปรับตัวส่วนอื่น
เรื่องที่ 3 ล้มเหลวเพราะคิดไม่กี่คนแต่จะให้ทุกคนยอมรับ
การเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งหมด ทุกคนจึงเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ ดังนั้น ก่อนเปลี่ยนแปลงควรพูดคุยรับฟังความคิดเห็นของพนักงานและลูกค้าก่อน ซึ่งเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นกตัวแรก คือ จะได้ตรวจสอบดูว่าสิ่งที่คิดไว้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงหรือไม่ เพราะคนทำงานย่อมรู้เรื่องนี้ดีกว่าผู้บริหารที่อาจจะไม่เข้าใจธรรมชาติของงานในแต่ละส่วนได้ลึกซึ้งเท่าคนที่ทำเรื่องนั้นโดยตรง การเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความคิดเห็นและมีการปรับแนวทางตามข้อเสนอของพวกเขา ยังทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าการสั่งการจากข้างบนเพียงอย่างเดียว
นกตัวที่สอง คือ การพูดคุยรับฟังความคิดเห็นเป็นโอกาสที่ดีในการสื่อสารเพื่อให้พนักงานและลูกค้าทราบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ช่วยให้ทุกคนมีการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงแต่เนิ่น ๆ พอถึงช่วงที่ต้องทำการเปลี่ยนแปลงจริง ก็จะพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า
เรื่องที่ 4 ล้มเหลวเพราะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นหนังม้วนเดียวจบ
เทคโนโลยีดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นจึงไม่ใช่หนังม้วนเดียวจบที่ทำครั้งหนึ่งแล้วก็รอไปอีก 3 ปี 5 ปี ค่อยมาว่ากันใหม่ หัวใจสำคัญของการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นไม่ใช่ “การ เปลี่ยนแปลง” เพียงคำเดียว แต่เป็น “การเปลี่ยนแปลงเพื่อให้พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ” การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โอบรับเอาการเปลี่ยนแปลงมาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของลูกค้า กลยุทธ์ของคู่แข่ง การกำกับดูแลของรัฐบาล ล้วนแล้วแต่มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากขึ้น จนการคาดการณ์ไปข้างหน้าในระยะยาวแทบไม่ช่วยอะไรเลย ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครมีอะไร แต่เป็นใครที่สามารถปรับตัวได้เร็วและเหมาะสมกว่ากัน
ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่นคิดให้ไกลแล้วต้องไปให้ถึง
การที่ธุรกิจกว่า 3 ใน 4 ล้มเหลวในการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรทำเรื่องนี้ ตรงกันข้าม หากเราสามารถเป็นเหมือนธุรกิจอีก 1 ใน 4 ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ก็แสดงว่าเราสามารถทิ้งห่างคู่แข่งได้หลายขุม หัวใจสำคัญของความสำเร็จขึ้นอยู่กับการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับตัวเอง มีการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังว่าอะไรต้องทำก่อนอะไรต้องทำที่หลัง ไม่ตื่นตูมเต้นตามคนอื่นเขา แต่ก็ไม่ใจเย็นจนเกินไปจนปล่อยให้คนอื่นทิ้งห่าง นอกจากนี้แล้ว ต้องเข้าใจว่าการทำเรื่องนี้ไม่ใช่การพลิกโฉมองค์กรแบบรวดเดียวพร้อมกันทั้งหมดโดยไม่ประเมินความพร้อม เพราะหากทำแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นทำลายแบบถอนรากถอนโคนจนไม่ได้ผลอย่างที่หวังไว้.