การสร้างพลังความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อฟื้นวิกฤติ

การสร้างพลังความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อฟื้นวิกฤติ

ประเทศต่าง ๆ ในโลกต้องเผชิญวิกฤติข้ามพรมแดนมากขึ้นเนื่องจากความเชื่อมโยงภายในประเทศ และระหว่างประเทศมากขึ้น

วิกฤติข้ามพรหมแดนนี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยกลไกระดับประเทศ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติสิ่งแวดล้อม หรือวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งสร้างผลกระทบไปทั่วโลกในเวลานี้

แต่นับตั้งแต่โควิด-19 แพร่ระบาด แต่ละประเทศพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ปกป้องคนและเศรษฐกิจในประเทศ กักตุนและกีดกันการส่งออกอุปกรณ์ป้องกันและอุปกรณ์การแพทย์ มีความช่วยเหลือกันบ้าง แต่ไม่ใช่ความร่วมมือระดับโลก จึงทำให้ไม่สามารถจัดการปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ

การที่ประเทศไทยจะจัดการโควิด-19 รวมทั้งโรคระบาดที่จะมาในอนาคตได้ ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งผมอยากจะเสนอบทเรียน ดังนี้

1.ระยะการอุบัติของวิกฤติ: Global Leadership

โลกไม่มีผู้นำในการแก้วิกฤติ ขาดความรู้ความเข้าใจ ข้อมูลไม่ชัดเจน ทำให้สับสน บางประเทศยังไม่ตระหนักถึงความร้ายแรง เช่น แพทย์ที่เตือนทางการจีนเรื่องการระบาดถูกทางการจีนสอบสวนในข้อหาปล่อยข่าวลือ หรือแม้แต่การที่ WHO ให้ข้อมูลผิดพลาดในหลายประเด็น เป็นต้น

ระยะนี้จึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อโรคให้ได้เร็วที่สุด เพื่อจะออกแบบการจัดการโรคระบาดได้เร็วและมีประสิทธิผล ดังนั้นมหาอำนาจต้องแสดงบทบาทเป็นผู้นำโลก (Global Leadership) โดยรวมศูนย์การสื่อสารข้อมูลระดับโลกที่น่าเชื่อถือ ร่วมมือศึกษาวิจัย เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับโรค พัฒนา Early Warning System สำหรับวิกฤติด้านสุขภาพของโลก เพื่อเตือนให้ทุกประเทศรู้เร็วที่สุด รวมทั้งพัฒนามาตรฐานระหว่างประเทศเรื่องการเปิดเผยข้อมูลด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นต้น

2.ระยะแรกของการระบาด: Global Task Force

หลายประเทศไม่รู้ว่าจะรับมือกับวิกฤติอย่างไร ผู้คนตื่นตระหนก มีการกักตุน อุปกรณ์ป้องกัน และอุปกรณ์ทางการแพทย์ บางประเทศจัดการได้ดี แต่บางประเทศมีปัญหา

ในระยะนี้ต้องทำให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกัน ทำให้โลกมีแบบแผนในการจัดการการระบาด ซึ่งทำได้โดยการจัดตั้ง Global Task Force ว่าจะจัดการโรคระบาดอย่างไร มีการร่วมลงนามในกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับความร่วมมือในการรับมือกับโรคระบาด พัฒนากลไกการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีและเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากร รวมทั้งแบ่งปันเครื่องมือ หรือเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้ในการจัดสรรทรัพยากรในภาวะวิกฤติโควิด และ ร่วมมือกันผลิตและกระจายอุปกรณ์ป้องกัน อุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น

3.ระยะที่เชื้อโรคแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว: Global Lockdown

ในระยะที่มีการระบาดรวดเร็ว แพร่กระจายข้ามพรมแดน ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคยังมีจำกัด ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค และไม่มียารักษาโรค ประเทศต่างๆ ต้องจำกัดแวดวงการระบาดให้ได้เร็วที่สุด เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยวิกฤติที่เข้าสู่ระบบสาธารณสุขและลดผลกระทบของโรคระบาดที่มีต่อเศรษฐกิจ

การจัดการวิกฤติระยะนี้ หากล็อคดาวน์ระดับจุลภาคและทำเพียงลำพัง ปัญหาอาจจบในระยะสั้น แต่ต่อไปการระบาดจะย้อนกลับมาอีก เพราะพื้นที่ระดับจุลภาคต้องเชื่อมโยงกับพื้นที่อื่น ๆ  ดังนั้นผมจึงส่งความคิดถึงท่านนายกรัฐมนตรี (16 มี.ค. 2563) เสนอให้ไทยเป็นแกนนำในการเจรจาริเริ่มทำข้อตกลงกับ 224 ประเทศ และเขตดินแดนทุกแห่ง ผ่าน UN ให้เกิดการล็อคดาวน์ระดับโลก (Global Lockdown)

4.ระยะพัฒนาวัคซีน: Global Research Collaboration

วัคซีนเป็นคำตอบของการหยุดยั้งการระบาด แต่ที่ผ่านมาการพัฒนาวัคซีนเป็นแบบต่างคนต่างทำ ไม่ร่วมมือกัน ทำให้มีโครงการพัฒนาวัคซีน Covid-19 จำนวนมาก โดย 10 ชนิด กำลังถูกฉีดให้กับคนทั่วโลก และมีอีกมากกว่า 200 ชนิด ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งข้อดี คือ โอกาสสำเร็จสูง แต่ข้อเสีย คือ ซ้ำซ้อน และใช้งบไม่มีประสิทธิภาพ

ในระยะนี้โลกควรพัฒนาวัคซีนให้รวดเร็ว ใช้ทรัพยากรและงบประมาณในการพัฒนาวัคซีนอย่างคุ้มค่า ผมจึงเสนอให้โลกพัฒนาความร่วมมือวิจัยและพัฒนาวัคซีนระดับโลก เช่น พัฒนาแหล่งทุนวิจัยและพัฒนาวัคซีนระดับโลก สร้างเวทีหรือช่องทางแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการพัฒนาวัคซีนระดับโลก เป็นต้น

5.ระยะกระจายวัคซีน: (Pandemic) Global Fund

เมื่อโลกพัฒนาวัคซีนได้แล้ว อาจเกิดการผูกขาดด้านการผลิต และกระจุกตัวของการเข้าถึงวัคซีน คนในประเทศร่ำรวย สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ แต่ประเทศยากจน ยังเข้าถึงวัคซีนได้น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้การระบาดจะยังไม่จบ เพราะยังมีหลายประเทศที่ยังไม่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

เป้าหมายในระยะนี้ คือ ประเทศทั่วโลกได้รับวัคซีน จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ทั่วโลก ซึ่งผมเสนอว่าควรมีการจัดตั้ง Pandemic Global Fund โดยสร้างความร่วมมือรัฐบาลทุกประเทศ เพื่อลงขันกัน วิจัยและพัฒนาวัคซีน ยา และเครื่องมือที่จำเป็น เพื่อแจกจ่ายหรือขายให้กับประเทศยากจน ในราคาถูก

6.ระยะการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่: Global Redistribution

การทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ต้องใช้เวลานาน เพราะ ต้องฉีดวัคซีนกับคนจำนวนมาก อย่างไรก็ดีในที่สุดภูมิคุ้มกันหมู่จะเกิดในบางกลุ่มประเทศก่อน ได้แก่ ประเทศร่ำรวย ประเทศผู้ผลิตวัคซีน แต่ประเทศที่มีประชากรน้อย ยากจนจะยังไม่ได้รับวัคซีน คนในประเทศเหล่านี้ยังมีการแพร่ระบาด และ ในที่สุดอาจทำให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ขึ้นได้อีก

ในระยะนี้ควรกระจายวัคซีนให้ระดับโลกให้เร็วที่สุด ผมจึงเสนอว่าควรมีกลไกระดับโลก เพื่อเกลี่ยวัคซีนจากประเทศที่มีมาก จูงใจให้นำวัคซีนส่วนเกิน ไปฉีดในประเทศที่ยังเข้าไม่ถึงวัคซีน ทั้งโดยการขอบริจาค ขอยืม และขอซื้อ รวมทั้งมีการกระจายวัคซีนที่ตรงกับสายพันธุ์ของเชื้อโรค วิจัยวัคซีนที่มีประสิทธิผลในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เฉพาะถิ่น และจูงใจและอาจจะบังคับให้ประชาชนต้องฉีดวัคซีน เช่น ออกวัคซีนพาสปอร์ต บังคับให้ผู้ให้บริการทุกชนิดต้องฉีดวัคซีน เป็นต้น

7.ระยะการฟื้นฟูผลกระทบ: Global Synchronization

การระบาดและการล็อคดาวน์หลายครั้งทำให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน ทำให้ผู้คนทั่วโลกยากลำบาก โดยเฉพาะคนที่มีรายได้น้อย

เป้าหมายในระยะนี้ คือ ร่วมมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจพร้อมกัน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก ซึ่งผมเสนอให้โลกร่วมกันจัดตั้งกองทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก เพื่อให้เงินช่วยเหลือและเงินกู้แก่ประเทศต่าง ๆ กระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลทุกประเทศร่วมมืออัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจ กระตุ้นกำลังซื้อ รวมทั้งเปิดเสรีการค้าการลงทุนให้มีเงินลงทุนเข้ามาซื้อหรือเพิ่มทุนให้กิจการที่มีปัญหา เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้ว และไม่ติดเชื้อ รวมทั้งพักชำระหนี้ให้ประเทศยากจน เพื่อลดภาระหนี้ และนำงบประมาณไปใช้เรื่องสาธารณสุขในช่วงวิกฤติ เป็นต้น

ความร่วมมือระดับโลกนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละประเทศย่อมสนใจที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติตัวเองก่อน อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าในอนาคตวิกฤติข้ามพรหมแดนจะเกิดมากขึ้น ถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องถูกบังคับให้ร่วมมือกันมากขึ้นในที่สุดครับ.