ตอน :: จะเลือกมองแบบโลกสวย หรือ โลก (ซวย) แห่งความเป็นจริง..

ตอน :: จะเลือกมองแบบโลกสวย หรือ โลก (ซวย) แห่งความเป็นจริง..

วิกฤติโควิดระบาดรอบแรกในไทยจนถึงการระบาดรอบล่าสุดในปัจจุบัน นับว่าการระบาดรอบปัจจุบันนี้ 'ตึงมืออย่างยิ่ง' 

ตั้งแต่วิกฤติไวรัสโควิดระบาดรอบแรกในประเทศไทยปีที่แล้ว จนถึงการระบาดรอบล่าสุดในปัจจุบัน นับว่าการระบาดรอบปัจจุบันนี้ 'ตึงมืออย่างยิ่ง' ทั้งกับรัฐบาลและผู้ประกอบการ ไปจนถึงบุคคลทั่วไป

ที่บอกว่าตึงมือ เพราะเป็นการระบาดทั้ง 'แนวตั้งและแนวนอน' แนวตั้งคือ ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากในแต่ละวันส่งผลให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามปริมาณผู้ติดเชื้อ ส่วนแนวนอนคือ การระบาดแพร่กระจายจนเกิดเป็นคลัสเตอร์ใหม่ๆในหลายพื้นที่ในกรุงเทพ ส่วนต่างจังหวัดก็ลามไปทั่วประเทศ

ผู้ประกอบการ จะเลือกมองเลือกรับมือแบบ โลกสวย หรือโลกซวย (โลกแห่งความเป็นจริง) ดีล่ะ..?

มองแบบโลกแห่งความเป็นจริง...

1. ผู้ประกอบการ อย่าหวังพึ่งพิงหรือรอความช่วยเหลือจากภาครัฐบาล เพราะลำพังตัวรัฐบาลเอง

ก็แทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ผู้ประกอบการต้องพึ่งตัวเองให้มากที่สุด หรือรวมกลุ่มธุรกิจ หาพันธมิตรเพื่อแลกเปลี่ยน เกาะกลุ่มช่วยเหลือแลกเปลี่ยนกัน จะมีโอกาสรอดมากกว่า

2. รายได้ของหลายๆธุรกิจ หายไปกว่าครึ่ง หรือบางธุรกิจรายได้แทบจะเป็นศูนย์ แต่รายจ่ายเท่าเดิม ธุรกิจจะอยู่ได้นานอีกกี่เดือน?

3. ความเสี่ยงมีทุกวัน ที่พนักงานจะติดเชื้อและแพร่ระบาดในโรงงาน ในอาคารในบริษัท ของผู้ประกอบการ เพราะพนักงานแต่ละคนแต่ละแผนก มีความเสี่ยงสูงจากการเดินทางมาทำงานทุกๆวันโดยขนส่งสาธารณะ ในสภาพแวดล้อมที่การระบาดรุนแรงแพร่กระจายไปแทบทุกที่ในกรุงเทพ และต่างจังหวัด

ถ้าแจ๊คพ็อต พนักงาน 1 คนติดเชื้อแล้วนำมาแพร่... ต้องหยุดต้องกักตัวกี่คน ธุรกิจที่ซบเซาอยู่แล้วยิ่งไม่มีโอกาสสร้างรายได้ในช่วงนี้ และส่งผลไปถึงความเชื่อมั่นกับคู่ค้าและลูกค้า

4.กำลังซื้อในตลาดหดหาย ส่วนลูกค้าที่ยังพอมีกำลังซื้อก็ประหยัดค่าใช้จ่ายสุดชีวิต เพราะทุกคนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าจากการระบาดหนักในรอบล่าสุดนี้

มองแบบโลกสวย...

1. โควิดระบาดหนักรอบนี้ เป็นโอกาสที่จะ ปรับแนวทางการทำธุรกิจ (Business Model Transformation) เพราะพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน ประกอบกับก่อนการระบาด ธุรกิจทั่วโลกและในประเทศต่างก็ถูกเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่างๆ ดิสรัปธุรกิจบีบให้ต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจอยู่แล้ว

2. โควิดระบาดหนักรอบนี้ เป็นโอกาสที่จะ 'คัดสรร' รักษา พนักงาน ที่ 'มีวินัย มีความรับผิดชอบสูง และมีความสามารถ' ไม่ว่าจะทำงานที่บริษัทหรือ Work From Home ก็ตาม ส่วนพนักงานที่ฉกฉวยโอกาส หรือปราศจากความรับผิดชอบ ก็จะถูกสถานการณ์ครั้งนี้ คัดสรรออกไปเช่นกัน

3. โควิดระบาดหนักรอบนี้ เป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ ทั้ง 'ความอึด' และ 'ความสามารถ' ของผู้ประกอบการที่จะนำ ทีมงานและธุรกิจให้รอดไปได้อย่างไร?

4. กำลังซื้อในตลาดหายในธุรกิจเดิม ก็เป็นโอกาสในการ เริ่มธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างตลาดใหม่ รายได้ใหม่

5. เมื่อถึงวันที่สถานการณ์คลี่คลาย กำลังซื้อจะเริ่มกลับมา จากกลุ่มลูกค้าที่ยังมีกำลังซื้อที่ชะงักอัดอั้นในช่วงการระบาดหนัก

มองแบบผสมผสาน...

ส่วนตัว ผมมองแบบ 'ผสมผสานทั้ง 2 แบบ'...

คือ รับรู้โลกแห่งความเป็นจริงว่า การระบาดในประเทศครั้งนี้ หนักหนาสาหัส ธุรกิจจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะรายย่อย รายเล็ก จะล้มหายตายจากไปจำนวนมาก ธุรกิจขนาดกลางหลายธุรกิจก็อาจไปไม่รอดเพราะขาดสภาพคล่องทางการเงินแต่แทบไม่มีรายรับ หรือรายรับน้อยกว่ารายจ่าย จนขาดทุนสะสมหมดสภาพแต่ก็ไม่ได้สิ้นหวังหรือนอนรอชะตากรรม

การรักษาสภาพคล่องเงินสด (ถ้ายังพอมีให้รักษานะ!) เป็นสิ่งสำคัญที่สุด พอๆกับการรักษาฐานลูกค้าปัจจุบันที่ยังพอมี และต้องหาหรือเพิ่มช่องทางในการสร้างลูกค้าสร้างรายได้ใหม่ไปพร้อมๆกับสถานการณ์ที่อาจจะเริ่มคลี่คลายในปลายเดือนพฤษภาคมนี้ (หวังว่าคงเริ่มคลี่คลายภายในเดือนนี้ แล้วต้นเดือนหน้ามิถุนายน สถานการณ์การระบาดคงลดลง นิ่งควบคุมได้ ก็จะได้หายใจหายคอกันอีกครั้ง)

ก่อนจะนำธุรกิจให้รอด ต้องนำทีมงานและตนเองให้รอดจากไวรัสโควิตอย่าให้ติด และอย่าเพิ่มภาระให้กับแพทย์ พยาบาลที่ทำงานกันหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว การช่วยลดภาระให้กับแพทย์ พยาบาล โดยการไม่เพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อ เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายทุกคนต้องช่วยกันทำให้เต็มที่

สรุปแล้ว...

ต้องอึด ต้องอดทน ในช่วงนี้ และมองหาลู่ทาง วิธีการใหม่ๆ เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ก็เป็นโอกาสอีกครั้งที่ธุรกิจของท่านจะติดปีกบินอีกครั้ง

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆ ท่านผ่านพ้นสภาวะวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกันครับ.