ความสมดุลระหว่างความเข้มงวดและความอิสระเป็นเรื่องสำคัญ
ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในองค์กรทุกระดับมักมีต้นเหตุมาจาก “บุคลากร” เหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจระดับโลกไปจนถึงบริษัทเล็ก ๆ ก็ล้วนเกิดความผิดพลาดที่มาจากพนักงานที่ไม่รู้จักรับผิดชอบหรือมีขีดความสามารถไม่เพียงพอที่จะทำงานใหญ่ ๆ ได้
การพัฒนาคนให้พร้อมทำงานได้จริงจึงต้องอาศัยเวลาและงบประมาณในการฝึกอบรม ให้พนักงานใหม่มีความพร้อมเพียงพอก่อนจะเริ่มทำงาน แต่องค์กรหลาย ๆ แห่งก็เริ่มเหนื่อยหน่ายกับการพัฒนาบุคลากรของตัวเอง เพราะทุ่มเทให้ความรู้ ฝึกฝนไปมากเพียงใด เมื่อพนักงานสะสมความรู้ได้มากพอและถูกบ่มเพาะจนมีความรับผิดชอบสูงขึ้นแล้วก็มักจะเปลี่ยนไปร่วมงานกับองค์กรอื่นเพื่อหวังรายได้ที่มากขึ้น
จริงอยู่ว่าในแต่ละองค์กรก็มีคนที่มีศักยภาพสูงร่วมงานอยู่ด้วย ซึ่งคนเหล่านี้อาจจบการศึกษาในสถาบันเดียวกับกลุ่มคนข้างต้น แต่มาเริ่มงานด้วยความรู้ความสามารถที่สะสมมาทั้งในแง่วิชาการและความรู้รอบตัว และยังมีความรับผิดชอบมากพอที่องค์กรจะกล้าปล่อยให้ทำงานใหญ่ได้โดยลำพัง
การบ่มเพาะคนให้มีศักยภาพสูงจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์กรธุรกิจหรือการบ่มเพาะจากสถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่การเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ให้มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมในอนาคต
การฝึกให้เด็ก ๆ รู้จักรับผิดชอบและมีอิสระในการใช้ชีวิตเพื่อเรียนรู้ด้วยตัวเอง ขึ้นอยู่กับสมดุลที่พ่อแม่ต้องสร้างให้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ การเข้มงวดมากเกินไปอาจไม่ใช่คำตอบ ซึ่งเราอาจเห็นเด็กรุ่นใหม่หลาย ๆ คนที่พ่อแม่จัดตารางเรียนและตารางกิจกรรมให้อย่างเต็มที่ทั้งวิชาการ ดนตรี กีฬา กิจกรรมนอกหลักสูตร ฯลฯ
เมื่อเติบโตขึ้นแม้จะเรียนดีและทำกิจกรรมได้มากมายหลากหลาย แต่มักจะขาดความรับผิดชอบหน้าที่การงานของตัวเองเพราะบริหารจัดการไม่เป็นเนื่องจากมีพ่อแม่ทำมาให้ตลอดชีวิต ไม่ต่างอะไรกับเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่พ่อแม่ปล่อยให้ทำอะไรตามใจมากเกินไปก็มักจะเติบโตมาอย่างไม่มั่นคง แม้จะรับผิดชอบได้ดีหรือเรียนเก่ง แต่เขาอาจเติบโตแบบไม่มีทิศทางเพราะไม่มีพ่อแม่วางรากฐานไว้ให้จนไม่รู้ตัวตนที่แท้จริง
เราจึงเห็นเด็กรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกที่จะเรียนหนังสือต่อไปเรื่อย ๆ ไม่กล้าออกมาเผชิญโลกความเป็นจริงเพราะการเรียนเป็นเซฟโซนของเขา แทนที่จะได้ทำงานเพื่อใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาหรือออกไปสร้างครอบครัวเป็นของตัวเอง เด็กทั้งสองกลุ่มจึงมีปัญหาไม่แตกต่างกันแต่เป็นคนละมิติ ซึ่งล้วนก่อให้เกิดปัญหาอย่างเดียวกันในสังคมการทำงานนั้น คือคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งที่ไม่กล้ารับผิดชอบต่องานที่ทำ ซึ่งทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจในบ้านเราไม่ดีเท่าที่ควร
กลับมาดูที่ภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะมีเด็กแบบใดมาร่วมงาน เราก็จะเห็นผู้บริหาร 2 แบบที่มีสไตล์ต่างกันในการทำงาน อย่างแรกคือผู้บริหารที่กำกับดูแลพนักงานแบบละเอียดทุกจุด ติดตามพนักงานทุกขั้นตอนเพราะกลัวความผิดพลาดกับผู้บริหารอีกแบบหนึ่งที่มักปล่อยให้พนักงานทำงานไปตามทิศทางที่ให้ไว้ ไม่ลงมาดูในรายละเอียดขอให้ทำงานได้ในภาพรวมก็เพียงพอแล้ว ซึ่งความแตกต่างของผู้บริหารทั้ง 2 แบบนี้ก็ไม่แตกต่างอะไรกับการเลี้ยงดูของพ่อแม่ 2 กลุ่มข้างต้น นั่นคือต้องสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นให้ได้
ดังนั้น ความสมดุลระหว่างความเข้มงวดและความอิสระจึงเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นกลไกสำคัญในการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ ซึ่งเราจะเห็นตัวอย่างได้จากการพัฒนาคนในหลาย ๆ ประเทศเช่นญี่ปุ่นและเยอรมันที่เน้นการปลูกฝังความรับผิดชอบและระเบียบวินัยมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นโปรดติดตามต่อให้อาทิตย์หน้า