เศรษฐกิจโลกจะสดใส แม้โควิดจะมืดมัว

เศรษฐกิจโลกจะสดใส แม้โควิดจะมืดมัว

ธนาคารชาติอเมริกาประกาศชัดเจนว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะเข้มแข็งที่สุดในรอบ 40 ปี

 และจะมีมาตรการเสริมสนับสนุนเติมพลังระยะยาว (บันทึกการประชุมวันที่ 16-17มี.ค.) 

แม้ผู้ร่วมประชุมกำหนดนโยบายยังเป็นห่วงเรื่องตลาดแรงงานที่ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และเงินเยียวยาสะพัดมากในระบบ โอกาสของเงินเฟ้อมีมากขึ้น แต่สัญญาณครั้งนี้ชัดเจนว่าโอกาสที่จะปรับดอกเบี้ยให้สูงขึ้นภายในปีนี้คงแทบไม่มี สรุปก็คือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็แล้วแต่ อเมริกาจะเพิ่มเงินในระบบ

Morgan Stanley คาดคะเนว่าปีนี้เศรษฐกิจอเมริกาจะโต 8.1% จำนวนคนตกงานจะอยู่ประมาณ 4.9% อัตราเงินเฟ้อประมาณ 1.8% (ธนาคารกลางตั้งค่าไว้ที่ 2% หากเกินนี้จะมีมาตรการเพื่อปรับความสมดุลย์)

IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนจะโตขึ้น 8.4% ซึ่งนับว่าเป็นสถิติสูงสุดภายในรอบ 10 ปี ปีที่แล้วขณะที่เศรษฐกิจอเมริกาหดตัว 2.3% หรือ 20.9ล้านล้านดอลลาร์ จีนกลับขยายตัวขึ้น 2.3% ที่ 14.7ล้านล้านดอลลาร์ จึงทำให้เศรษฐกิจของจีนตามอเมริกาเพียงแค่ 6.2ล้านล้านดอลลาร์(ปี 2019 จีนตาม 7.1ล้านล้านดอลลาร์) โควิด-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้จีนตามทันและแซงอเมริกาเร็วขึ้นกว่าการคาดคะเนเดิม 3-5ปี

แม้การเมืองระหว่างสองมหาอำนาจ ส่งผลให้มีการข่มขู่ขัดขวางดึงถ่วงขัดแย้งในการค้าระหว่างกัน แต่ปีที่แล้วยอดส่งออกของจีนไปสหรัฐอเมริกากลับสูงขึ้น 3.6% ขณะเดียวกันการนำเข้าจากอเมริกาลดลง 1.1% 

ปีที่แล้วชาวจีนใช้เงินบริโภคสินค้ารวมน้อยลง 3.9% เพราะมีความระมัดระวังเป็นห่วงกับสถานการณ์ ขณะเดียวกันชาวอเมริกันกลับใช้เงินเพิ่มขึ้น 0.6%

แต่เนื่องจากเศรษฐกิจโลกพึ่งพาอาศัยความมั่นใจและความเชื่อถือในเงินยูเอสดอลล่าร์ อเมริกาจึงยังได้เปรียบต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง การที่อเมริกาสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยวิธีการ"พิมพ์เงิน"เพิ่มขึ้น โดยไม่มีใครสามารถจะยับยั้งได้ เนื่องจากไม่มีประเทศใดกล้าท้วงติง จึงทำให้รายได้ต่อบุคคลของอเมริกาเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 63,200ดอลลาร์ ขณะที่จีนเพิ่มขึ้นแต่ยังตามไม่ทันที่ 11,000 ดอลลาร์

สถานการณ์ของโควิดทั่วโลกยังน่าเป็นห่วง หลายประเทศจำเป็นต้องปิดอีกเป็นครั้งที่สามหรือครั้งที่สี่ ประชาชนเดือดร้อนและหงุดหงิดรำคาญ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ บางประเทศไร้ประสิทธิภาพในการควบคุมสถานการณ์ก็ปล่อยเลยตามเลยหรืออาจใช้เพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ปลอบประชาชน และให้ข้อมูลบิดเบือนเพื่อเอาตัวรอดไป 

ความหวังอยู่ที่วัคซีนที่กำลังแพร่หลายอยู่ในประเทศที่มีทรัพยากรสูง อเมริกาเป็นตัวอย่างที่ใช้ความร่ำรวยเป็นทางออก ขณะนี้มีประชาชนกว่า 25%แล้วที่รับวัคซีนครบถ้วน แม้ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ต่อวันอยู่ที่ 65,000 คนแต่มีความหวังที่มีภูมิต้านทานกลุ่มกลางปีนี้ จีนฉีดวัคซีนแล้ว 140ล้านหลอด และปริมาณผลิตวัคซีน 665ล้านหลอด จึงส่งช่วยเหลือและจำหน่ายให้กับหลายประเทศ เช่นบราซิล ตุรกีและอินโดนีเซียเป็นต้น

IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะโต 5.5% และปีหน้า 4.2% ตัวเลขนี้ดูสูงกว่าปกติเพราะปีที่แล้วค.ศ. 2020 โลกโดนพายุเศรษฐกิจเพราะโรคระบาด ผู้ที่ถูกกระทบหนักคือสตรี คนหนุ่มสาว คนยากจน และผู้ที่มีอาชีพที่ต้องใกล้ชิดหรือสัมผัสกับบุคคลอื่น ปีที่แล้วเศรษฐกิจโลกหดตัว 3.5%

ประธานาธิบดีไบเดนใช้นโยบายรุก ปลุกขวัญประชาชน ทำโครงการใหญ่ ใจกล้าเสี่ยงและยอมเป็นหนี้ โครงการสาธารณูปโภคซึ่งจะใช้เงินมหาศาลจำนวนไม่ต่ำกว่า2.3 ล้านล้านดอลลาร์ กำลังจะผ่านสภา และมีแนวโน้มว่าจะไม่มีการติดขัด ถึงแม้ว่าพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามจะไม่ให้ความร่วมมือเลย 

ประเทศต่างๆในส่วนอื่นของโลก กำลังปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ยุโรปเจอการติดเชื้อเพิ่มสัปดาห์ละ 12% เพราะมีไวรัสกลายพันธุ์ B.1.1.7 ซึ่งติดต่อง่ายมาก บราซิลเจอภาวะเศร้าสลดเพราะรัฐบาลไร้ความสามารถ ผู้เสียชีวิตต่อวันเฉลี่ยประมาณวันละ 4,000 คน อินเดียมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 101,000 คนต่อวัน รัฐบาลเยอรมันเพิ่งประกาศขอซื้อวัคซีนจากรัสเซียและโดนตำหนิจากสมาชิกประชาคมยุโรปว่าแตกแถว ทั้งที่ตกลงกันแล้วว่าจะตัดสินใจร่วมกัน

ท่านผู้อ่านกรุณาเสียสละใช้ความอดทนให้บ้านเมืองเราผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไป คาดว่าอีกไม่นานปริมาณของวัคซีนที่เข้ามาในประเทศไทยจะมากขึ้น ช่วงครึ่งหลังของปีนี้สถานการณ์จะดีขึ้น เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่สำคัญมากต่อภูมิศาสตร์การเมืองของสองมหาอำนาจทั้งอเมริกาและจีน เราจะได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการเติบโตเป็นประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศนี้ และเศรษฐกิจโลกซึ่งจะพุ่งแรงภายในปีนี้

ข่าวดีเพิ่มขึ้นที่ผมอยากจะให้เป็นกำลังใจและความหวังของท่านทุกคนก็คือนักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มกำลังเร่งค้นคว้าพัฒนาและผลิตวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีมากยิ่งกว่าปัจจุบัน วัคซีนรุ่นต่อไปจะคุ้มกันไวรัสกลายพันธุ์ต่างๆ จะเหมาะสำหรับคนทุกวัยและต่างผิวพรรณ วัคซีนที่บริโภคทางปากหรือพ่นฉีดที่จมูกกำลังจะมีโอกาสเป็นไปได้มาก 

สำหรับท่านที่ติดตามตลาดหุ้นอเมริกา ดัชนีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งที่มีเหตุการณ์หลายอย่าง ทำให้หุ้นหลายประเภทโดนลบกำไรที่สะสมมาตั้งแต่ต้นปี ผู้ลงทุนหน้าใหม่หลายคนเจอบทเรียนบอบช้ำ แต่เนื่องจากเงินดอลล่าร์สะพัดและไม่มีที่ไป ชาวอเมริกันทำงานจากบ้าน มีนวัตกรรมซื้อหุ้นสะดวก ดัชนี S&P 500 หนึ่งเดือน +4.38% สามเดือน+6.17% Dow Jones US total Stock หนึ่งเดือน +3.48% สามเดือน +6.45% 

สองมหาอำนาจทั้งอเมริกาและจีน ปีนี้ฟื้นทั้งคู่ กำลังแข่งกันหาเงินและใช้เงิน แม้จะแสดงอาการขัดเคืองข่มขู่กันทางการเมืองและการทหาร แต่การค้าก็ยังแน่นเหนียว ฉะนั้นบ้านเราประคองตัวให้ดี ปรับปรุงพื้นฐานให้แน่น โดยเฉพาะเรื่องการแพทย์และพยาบาล ความปลอดภัยในการท่องเที่ยว ความสมดุลย์ของอุตสาหกรรมหลัก สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีคุณภาพ เงินจากนอกประเทศจะหลั่งไหลเข้ามาตลอดทั้งปี ผมมั่นใจครับ