ภาวะการลงทุนที่อึดอัด

ภาวะการลงทุนที่อึดอัด

ภาพการลงทุนเริ่มเข้าสู่ช่วงอึดอัด ลองมาดูกันว่าผมจะเลือกลงทุนกัน อย่างไรดีแต่ก่อนอื่นคงต้องขอเล่าเรื่องก่อน

โดยเริ่มกันด้วยเรื่อง 2 - 3 เรื่อง เป็นเรื่องที่ส่งผลต่อภาวะการลงทุน ทำให้เกิดความผันผวนในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ความผันผวนแบบนี้ผมขอใช้คำว่าเป็นความผันผวนแบบไม่น่ากังวลมากนัก ทำให้นักลงทุนกระชุ่มกระชวยขึ้นมากกว่าที่จะกังวล


เริ่มจากการเปลี่ยนธีมการลงทุน โดยมาเล่นประเด็นเรื่อง เปิดเมือง ทำให้หุ้นกลุ่มที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มพาณิชย์ และ กลุ่มท่องเที่ยว รวมทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ต่างตื่นตัวขึ้น ส่วนกลุ่มหุ้นเติบโต( Growth Stock) ก็แพ้หุ้นคุณค่า (Value Stock)ไป ตามระเบียบ เรื่องที่ 2 คือแผนกระตุ้น เศรษฐกิจ ของคุณ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา มีทั้งแผนเยียวยา แผนกระตุ้น และแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน แต่ละแผนมีขนาดการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งผลทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ตื่นเต้นโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ของ สหรัฐอเมริกา เด้งขึ้นมาหลายรอบ และมาเคลื่อนไหวอยู่แถวๆร้อยละ 1.70 ด้วย การเด้งขึ้นดังกล่าวได้สร้างความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อทำให้ตลาดทุนมีความวิตกและปรับตัวลงเป็นช่วงๆ โดยลืมไปว่าเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้น สุดท้ายก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้คือ มีเรือขนสินค้าขนาดใหญ่โดนพายุทรายเกยตื้น ขวางคลองซูเอต ซึ่งเป็นทางเชื่อมการขนส่งสินค้าที่สำคัญ เชื่อมต่อทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลแดง เกือบสัปดาห์กว่าจะแก้ปัญหาได้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หุ้นกลุ่มเดินเรือ และโลจิสติก มีความผันผวนกันไป


ปัจจัยที่เกิดขึ้น ผมมองว่า เป็นสิ่งที่สร้างสีสันให้กับภาวะการลงทุนมากกว่าที่จะสร้างความกังวลในบ้านเรา มีการ Take Profit และ Rebound เป็นรอบๆ โดยเป็นการปรับตัวแคบๆ ไม่ลงลึก แต่ไม่ขึ้นเร็ว ในขณะที่ตลาดต่างประเทศ หุ้นขนาดใหญ่ได้รับความสนใจมากกว่า หุ้น Technology เพราะ ราคาไม่สูงมากและมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เพราะได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ขนาดใหญ่ ซึ่งก็สะท้อนภาพกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ที่เน้นลงทุน ในกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาด เป็นหุ้นคุณค่า และได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง รวมทั้งแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ


ทุกความผันผวนของภาวะการลงทุน เป็นความสับสนที่เป็นบวกมากกว่าลบ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นเพราะกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งก็เป็นปัจจัยมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ผมมองว่า ปัจจัยเหล่านี้เป็นความกังวลในเชิงบวก นอกจากนี้ ธีมเปิดเมืองก็จะส่งผลบวกต่อหุ้นคุณค่าและกดดันราคาหุ้นเติบโต แต่การฟื้นตัวแบบยาวๆ ก็จะทำให้หุ้นกลุ่มเติบโตจะกลับมาได้ในช่วงครึ่งหลังของปี การพักฐานเพื่อรอผลการดำเนินงาน ก็ถือว่าเป็นการปรับฐานที่ดี ก่อนที่จะเดินหน้าต่อ


การปรับตัวของตลาดทุนและตลาดเงินที่ผ่านมา เป็นการปรับฐานที่มีคุณภาพ ค่อยๆย่อยข่าวดีต่างๆที่ทยอยออกมา และมีการหยุดพักดูปัจจัยใหม่ๆไปเรื่อยๆโดยภาพใหญ่ที่มาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มาจากการเปิดเมืองและความคืบหน้าของวัคซีน COVID-19 การปรับฐานเพื่อรอผลการดำเนินงาน และตัวเลขเศรษฐกิจ ที่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น


ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้ทิศทางการลงทุนในระยะกลางถึงยาวที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และภาวะอึดอัดหรือในภาวะที่รอคอยปัจจัยต่างๆให้ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงแบบนี้ การกระจายสินทรัพย์ เพื่อการลงทุน ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากที่สุด โดยแบ่งครึ่งหนึ่งของพอร์ตเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น และตลาดเงิน อย่างละครึ่ง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งควรจะเป็นหุ้นทุน โดยแบ่งเงินลงทุนลงในตลาดหุ้นไทย ประมาณ 20% และที่เหลือ ผมแนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ยุโรป จีน และ สหรัฐอเมริกา ผมยกตัวอย่างตลาดหุ้นของประเทศญี่ปุ่น หลังจากผ่านช่วงวัคซีน Covid-19 ไปแล้ว ผมมองว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เริ่มกลับมาน่าสนใจนะครับ แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวแข็งแกร่ง แรงหนุนจากทั้งนโยบายการเงินและการคลัง โดยนายกรัฐมนตรี Yoshihide Suga ไม่เพียงสานต่อ Abenomics แต่พร้อมสนับสนุนการเติบโตผ่านการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น อาจจะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปีกลับมาช่วยหนุนการใช้จ่ายในประเทศ สำหรับท่านใดที่ยังไม่มีการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศนี้ ผมอยากแนะนำให้กระจายการลงทุนครับ