การคิดค่าบริการมือถือนอกโปรโมชั่น

การคิดค่าบริการมือถือนอกโปรโมชั่น

ประเทศไทยมีผู้ให้บริการหลัก 3 ราย ได้แก่ ทรูมูฟ เอไอเอส และดีแทค ซึ่งผู้ให้บริการแต่ละค่าย ก็ล้วนครองส่วนแบ่งทางตลาดแตกต่างกันออกไป

*บทความโดย ดร.อรัชมน พิเชฐวรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

สภาวะตลาดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในปัจจุบันมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากมีการขยายตัวของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง กอรปกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสื่อสาร และด้วยต้นทุนที่ต่ำลงของอัตราค่าบริการ ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างแพร่หลาย จนทำให้การสื่อสารด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่กลายมาเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตในปัจจุบัน

ประเทศไทยมีผู้ให้บริการหลัก 3 ราย ได้แก่ ทรูมูฟ เอไอเอส และดีแทค ซึ่งผู้ให้บริการแต่ละค่าย    ก็ล้วนครองส่วนแบ่งทางตลาดแตกต่างกันออกไป แต่ด้วยสภาวะการแข่งขันในปัจจุบันแต่ละค่ายก็ต้องการที่จะขยายการให้บริการที่ครอบคลุมมากที่สุด อีกทั้งการพัฒนาแผนกลยุทธ์เพื่อใช้ในการแข่งขันก็ล้วนทวีความสำคัญตามมาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการให้มากที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่ความพึงพอใจในการใช้บริการมากที่สุดนั่นเอง

จะเห็นได้ว่านอกจากปัจจัยด้านเทคโนโลยีแล้ว ปัจจัยด้านการให้บริการอันเป็นรายการส่งเสริมการขายหลัก หรือที่เราเรียกกันอย่างคุ้นหูว่า “โปรโมชั่น” นั้นล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่เลือกใช้บริการค่ายใดค่ายหนึ่ง ซึ่งถ้าจะให้พูดถึงโปรโมชั่นการให้บริการที่น่าสนใจนั้น ผู้บริโภคก็มักจะชื่นชอบแบบที่ค่าบริการถูก ไม่แพงจนเกินไป และสามารถใช้บริการไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ที่ดีคุ้มค่ากับราคาที่สุด เหมาะสมกับการใช้งานที่สุด

เมื่อผู้บริโภคเลือกโปรโมชั่น เลือกค่ายโทรศัพท์มือถือได้ถูกใจแล้ว ปัญหาที่ตามมาหลังจากใช้โปรนั้น ๆ ไปจนหมดโปรแล้วก็คือ ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะเจอ Bill Shock ได้ถ้าไม่ระวัง ซึ่งประเด็นการคิดค่าบริการนอกโปรเป็นเรื่องที่เกิดกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบชำระค่าบริการรายเดือน ซึ่งผู้บริโภคดังกล่าวจะอยู่ในโปรอันใดอันหนึ่งที่มีอัตราค่าบริการคงที่และมีการจำกัดปริมาณของบริการในแต่ละเดือนว่าจะโทรได้ไม่เกินกี่นาที หรือใช้บริการอินเทอร์เน็ต หรือบริการข้อมูล ได้ไม่เกินกี่ GB

ถ้าเกิดการใช้บริการเกินกำหนดก็จะถูกคิดค่าบริการต่อหน่วยในอัตราที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในโปร อันส่งผลให้ผู้ใช้บริการเจอสภาวะ Bill Shock เนื่องจากถูกเรียกเก็บค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สูงกว่าปกติอย่างมากในเดือนนั้น ๆ ได้

สำหรับกรณีดังกล่าวได้มีผู้บริโภคประสบปัญหา และได้ทำการร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นจำนวนมาก ซึ่งทาง กสทช. เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ล่าสุดได้มีการเปิดฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อร่างประกาศ เรื่อง การกำหนดและกำกับดูแลอัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศส่วนที่เกินกว่าสิทธิการใช้งานของรายการส่งเสริมการขายหลัก

สาระสำคัญของร่างประกาศดังกล่าวอยู่ที่การกำกับอัตราค่าบริการนอกรายการส่งเสริมการขาย หรือที่เรียกกันว่าโปรโมชั่น โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการสามารถกำหนดค่าบริการนอกโปรได้ไม่เกินกว่าอัตราขั้นสูงของค่าบริการ ดังนี้ บริการเสียงไม่เกิน 1.60 บาทต่อนาที บริการข้อความสั้น (SMS) ไม่เกิน 2.50 บาทต่อข้อความ บริการข้อความมัลติมีเดีย (MMS) ไม่เกิน 4.50 บาทต่อข้อความ และบริการอินเทอร์เน็ตไม่เกิน 0.90 บาทต่อเมกะไบต์

ซึ่งหมายความว่ารายการส่งเสริมการขายที่กำหนดขึ้นใหม่หลังวันที่ประกาศมีผลบังคับใช้นั้น ค่าบริการนอกโปรจะต้องไม่เกินอัตราขั้นสูงดังกล่าว ขณะที่รายการส่งเสริมการขายใดที่มีอัตรากำหนดราคานอกโปรเกินกว่าวันก่อนที่ประกาศมีผลบังคับใช้ ให้สามารถเรียกเก็บค่าบริการต่อไปได้ จนกว่าระยะเวลาของรายการส่งเสริมการขายนั้นสิ้นสุด ส่วนรายการส่งเสริมการขายที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการให้บริการไว้ ก็สามารถเรียกเก็บได้ไม่เกิน 270 วันนับแต่ประกาศนี้มีผลบังคับใช้

ในร่างประกาศฉบับดังกล่าว ผู้เขียนเห็นด้วยในหลักการเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความเกี่ยวพันกับประโยชน์ของผู้บริโภคโดยตรง เพียงแต่สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวนั้นคิดว่าค่าบริการที่กำหนดนั้นสูงเกินไปหรือไม่ และผู้ให้บริการอาจผลักภาระดังกล่าวมาที่ผู้บริโภคโดยการทำให้ค่าบริการในโปรแพงขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งประเด็นเรื่องการพิจารณาเรื่องการคิดค่าบริการดังกล่าวต้องเป็นการสร้างสมดุลไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้ประกอบการ และฝั่งผู้ใช้บริการให้เหมาะสมเพื่อให้การดำเนินธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างสมเหตุสมผลที่สุด