เมื่อการรำลึกถึงความเมตตาอาจนำมาซึ่งความตาย

เมื่อการรำลึกถึงความเมตตาอาจนำมาซึ่งความตาย

วันพฤหัสบดีสุดท้ายของ พ.ย. เป็นวันรำลึกถึงความเมตตาของพระเจ้าพร้อมกันทั้งประเทศ และเป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวเดินทางกลับมาฉลองที่บ้าน

วันพฤหัสบดี 26 พฤศจิกายน ชาวอเมริกันพร้อมใจกันทำกิจกรรมรำลึกถึงคุณ หรือความเมตตาของพระเจ้า (Thanksgiving)  การทำกิจกรรมแนวนี้มีอยู่ในหลายภาคส่วนของโลกซึ่งจะมองว่าเป็นการฉลองความโชคดีของชุมชนก็ได้  แต่ละชุมชนมีเหตุผล กำหนดเวลาและเนื้อหาของกิจกรรมต่างกัน  ในสหรัฐก็เช่นกัน  รัฐต่าง ๆ เคยกำหนดวันกันเอง  จนกระทั้งปี 2484 รัฐสภาและประธานาธิบดีจึงเห็นพ้องต้องกันให้กำหนดวันพฤหัสบดีสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนเป็นวันรำลึกถึงความเมตตาของพระเจ้าพร้อมกันทั้งประเทศ  

ผมมีโอกาสร่วมกิจกรรมในวันอันสำคัญทางด้านจิตใจนี้ตั้งแต่ปี 2507  เป็นกิจกรรมที่ผู้เข้าร่วมมีความสุขมากเนื่องจากสมาชิกในครอบครัวซึ่งอาจแยกตัวออกไปทำมาหากินในหลายท้องถิ่นของประเทศ นัดมาพบกันพร้อมกับการจัดทำอาหารพิเศษโดยเฉพาะไก่งวงอบ  อย่างไรก็ดี การรวมตัวของสมาชิกในครอบครัวปีนี้อาจมีความตายตามมา ทั้งนี้เพราะไวรัสโควิด-19 กำลังระบาดเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง

คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ชาวอเมริกันป่วยและตายจากไวรัสโควิด-19มากที่สุดในโลกเนื่องจากการรับมือกับไวรัสร้ายตัวนี้ตั้งแต่ต้นปีล้มเหลวโดยสิ้นเชิงแม้สหรัฐจะก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและมีพลังทางเศรษฐกิจสูงมากก็ตาม  ปัจจัยหลักของความล้มเหลวมาจากมุมมองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และชาวอเมริกันนับร้อยล้านคน กล่าวคือ นายทรัมป์ไม่ให้ความสำคัญแก่มาตรการป้องกันการระบาดของมันที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์เสนอ 

เนื่องจากไวรัสตัวนี้คร่าชีวิตคนผิวสีและคนชรามากกว่าคนผิวขาวและคนหนุ่มสาวในสหรัฐ และจากการเล็งผลเลิศทางการเมืองเนื่องจากชาวอเมริกันนับร้อยล้านคนต่อต้านมาตรการของรัฐบาลจำพวกบอกให้สวมหน้ากากอนามัย ไม่ร่วมชุมนุมกันเป็นกลุ่มใหญ่ตลอดไปจนถึงการปิดห้างร้านและโรงเรียนเป็นการชั่วคราว  พวกเขามองว่ามาตรการเหล่านั้นก้าวก่ายในการมีเสรีภาพของตน  มุมมองนี้อธิบายได้ยากเนื่องจากรัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการและรักษากฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย  คนพวกนี้ยอมคาดเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์แม้การไม่คาดจะไม่ส่งผลให้คนอเมริกันตายกันอย่างแพร่หลายเหมือนตายจากไวรัสโควิด-19ก็ตาม

ท่ามกลางการระบาดร้ายแรงของไวรัสโควิด-19นี้ หน่วยงานของรัฐบาลด้านป้องกันและควบคุมโรคระบาดเสนอให้ชาวอเมริกันงดการรวมตัวของครอบครัวเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อทำกิจกรรมรำลึกในคุณ หรือความเมตตาของพระเจ้า  แต่เป็นที่ประจักษ์ว่า ชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนยังดื้อรั้นจะทำ ทั้งนี้ดูได้จากจำนวนผู้เดินทางโดยเครื่องบินและอื่น ๆ ในช่วงสัปดาห์นี้ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดตั้งแต่วันโควิด-19เริ่มระบาด  จริงอยู่ผู้เดินทางส่วนใหญ่ดูจะสวมหน้ากากอนามัยกันอย่างจริงจังตอนเริ่มต้นเดินทาง แต่เมื่อสมาชิกในครอบครัวรวมตัวกันทำกิจกรรมเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเขาคงไม่สวมหน้ากากอย่างเคร่งครัด  ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์จึงคาดว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเมื่อกิจกรรมรำลึกถึงความเมตตาของพระเจ้ายุติลง ความเจ็บป่วยด้วยโควิด-19ของชาวอเมริกันจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดส่งผลให้นับหมื่นคนจะต้องไปอยู่กับพระเจ้าแบบถาวร

ภาวะความเจ็บป่วยและล้มตายในสหรัฐดังกล่าวก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเข้มข้นว่า ขอบเขตของเสรีภาพส่วนบุคคลนั้นอยู่ตรงไหน  ประเด็นโลกแตกนี้มีมานานและยิ่งบานปลายเมื่ออิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจและการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ในกรณีของการมีอิสระที่จะสรรหาปืนมาไว้ในครอบครอง รัฐบาลไม่สามารถควบคุมปืนชนิดที่ใช้ในสงครามได้เพราะกลุ่มผู้ผลิตและขายปืนมีอิทธิพลเหนือนักการเมืองจำนวนมากมานาน  ในกรณีของไวรัสโควิค-19 นายทรัมป์ต้องการเอาใจผู้ต่อต้านมาตรการของรัฐบาลและพวกรังเกียจผิว  ผลสุดท้าย ชาวอเมริกันตายด้วยอาวุธปืนและโควิด-19สูงที่สุดในโลก  ประเด็นนี้มิใช่มีเฉพาะในสหรัฐเท่านั้น หากมีอยู่ทั่วไปอันเป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า เสรีภาพไร้ขอบเขตอันควรและไร้ความรับผิดชอบ ผลสุดท้ายมันจะทำให้ตายก่อนเวลาอันควร