เพิ่มศักยภาพการส่งออกโดยใช้สิทธิทางภาษีศุลกากร
สิทธิพิเศษทางศุลกากร ที่จะช่วยให้ได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนอากากรขาเข้าประเทศปลายทาง เป็นอีกช่องทางที่ผู้ประกอบการจะเพิ่มและขยายการส่งออกได้
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศทั่งโลก การส่งออกของไทยก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย แต่ผู้ส่งออกไทยยังมีช่องทางที่จะเพิ่มและขยายการส่งออกได้ คือใช้สิทธิพิเศษทางศุลกากรที่จะได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าประเทศปลายทาง
สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรที่ผู้ส่งออกจะสามารถใช้ได้คือ
สิทธิพิเศษ ตามโครงการ GSP (Generalized System of Preferences) เป็นการที่ประเทศพัฒนาแล้วให้สิทธิยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าให้ประเทศกำลังพัฒนา ตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่สิทธิGSP ที่ไทยจะได้รับคงจะถูกตัดสิทธิหมดไปในไม่ช้า เมื่อไทยส่งออกสินค้าทั้งปริมาณและมูลค่าเกินเพดานหรือมีเหตุตามเงื่อนไขที่ประเทศผู้ให้สิทธิกำหนดไว้ ผู้ผลิตผู้ส่งออกที่เคยพึ่งพาแต่สิทธิ GSP จำเป็นต้องเริ่มปรับตัวเตรียมไว้ในกรณีที่ไทยอาจถูกตัดสิทธิทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
สิทธิพิเศษตามโครงการ GSTP (Agreement on The Global System of Trade Preferences Among Developing countries) เป็นสิทธิพิเศษที่มีการตกลงแลกเปลี่ยนกันระหว่างประเทศที่กำลังพัฒนา
สิทธิพิเศษตามความตกลงเขตการค้าเสรีที่ประเทศไทยเป็นภาคีตามที่ทำความตกลงไว้กับประเทศหรือกลุ่มประเทศ โดยจะได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าสำหรับรายการสินค้าตามที่ตกลงกัน ปัจจุบันที่มีผลบังคับใช้แล้วมี 13 ความตกลงคือ
* ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน ASEAN Free Trade Area :AFTA
* เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน( ASEAN –China Free Trade Agreement :ACFTA)
* ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN –Japan Comprehensive Economic Partnership :AJCEP)
* เขตการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี (ASEAN –Korea Free Trade Agreement : AKFTA )
* ความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์(Agreement Establishing The ASEAN –Australia- New Zealand Free Trade Area)
* ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (ASEAN-INDIA Free trade Agreement :AIFTA)
* ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน –ฮ่องกง ( Agreement on Investment among The Government of Hong Kong Special Administrative Region of The Republic of China and The Member States of The Association of Southeast Asian Nations)
* ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย ( Thailand –Australia Free Trade Agreement)
* ความตกลงหุ้นส่วนใกล้ชิดยิ่งไทย –นิวซีแลนด์ (Thailand –New Zealand Closer Economic Partnership ;TNZCEPT)
* ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่ง ไทย-ญี่ปุ่น (Japan –Thailand Economic Partnership :JTEPA)
* ความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเปรู (Framework Agreement on Closer Economic Partnership Between The Government of The Kingdom of Thailand and The Government of The Republic of Peru:TPCEP )
* ความตกลงการค้าเสรี(FTA) ไทย-ชิลี( Thailand –Chili Free Trade Agreement )
* ความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย(Thailand –India Free Trade Agreement )
วิธีการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร
การใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ดังกล่าวผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกต้องผลิตสินค้าให้ถูกต้องตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า ตามโครงการ GSP หรือความตกลงเขตการค้าเสรีนั้นฯ และจะต้องยื่นขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจากกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อใช้ประกอบพิธีการนำเข้าในประเทศนำเข้า ดังนี้
*หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM A สำรับ การใช้สิทธิพิเศษ GSP เว้นแต่ในกรณีการส่งสินค้าเพื่อใช้สิทธิ GSP ของสหรัฐ ไม่ต้องยื่นขอและใช้หนังสือรับรอง FORM A ผู้นำเข้าสามารถร้องขอใช้สิทธิ GSP และรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง แต่ผู้ส่งออกต้องเก็บหลักฐานเอกสารข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าไว้อย่างน้อย 5 ปี เพื่อเตรียมไว้ในกรณีที่ศุลกากรสหรัฐจะตรวจสอบถิ่นกำเนิดของสินค้าที่ถูกต้อง
*หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM GSTP ในการใช้สิทธิตามโครงการGSTP
* หนังสือรับรอง FORM D สำหรับการส่งออกใช้สิทธิตามความตกลง AFTA
*หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM FTA สำหรับการใช้สิทธิ ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย หรือความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย
* การใช้สิทธิตามความตกลงหุ้นส่วนใกล้ชิดยิ่งไทย –นิวซีแลนด์ ผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกไทยหรือบุคคลในประเทศที่สามที่ได้รับมอบอำนาจ สามารถรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าบนเอกสาร Invoice ได้โดยไม่ต้องใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดของทางราชการ
* หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM JTEPA สำหรับการใช้สิทธิตาม ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่ง ไทย-ญี่ปุ่น
*หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM E สำหรับการใช้สิทธิตามเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน
* หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM AJ สำหรับการใช้สิทธิตามความตกลงความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น
*หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM AK สำหรับการใช้สิทธิตามความตกลง เขตการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี
* หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM AI สำหรับการใช้สิทธิตามตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย
* หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM AANZ สำหรับการใช้สิทธิตามตามความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์
* หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM TP สำหรับการใช้สิทธิตามความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเปรู
* หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM TC สำหรับการใช้สิทธิตามความตกลงการค้าเสรี(FTA) ไทย-ชิลี
*หนังสือรับรอง FORM AHK สำหรับการใช้สิทธิตามความตกลง FTA อาเซียน –ฮ่องกง
ความก้าวหน้าในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า
การออกหนังสือรับรอง FORM D. FORM JTEPA. FORM FTA ไทยออสเตรเลีย FORM AK. FORM AANZ. FORM AJ กรมการค้าต่างประเทศให้บริการออกหนังสือรับรองด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบ ESS ( Eletronic Signature and Seal) ด้วย นอกจากนี้อาเซียนยังได้นำระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง มาใช้แทนการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า FORM Dด้วย โดยผู้ส่งออกที่จะรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง ต้องขึ้นต้องขึ้นทะเบียน กับกรมการค้าต่างประเทศ และปฏิบัติตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์ ตามที่กำหนดใน ประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่องการขึ้นทะเบียนและการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองตามความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน พ.ศ.2563 ลงวันที่ 3 กันยายน 2563
การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับสิทธิเป็นผู้รับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกมาก ผู้ออกจึงควรรีบไปขึ้นทะเบียน ซึ่งหากเป็นผู้ส่งออกทั่วไปที่ยังไม่ใช้ระบบ Digital ต้องไปยื่นคำร้องขอที่เป็นเอกสารที่กรมการค้าต่างประเทศตามวิธีการแบบดั้งเดิม ส่วนผู้ส่งออกที่ปรับตัวมาใช้ระบบDigitalและมีลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature ) แล้ว จะได้รับความสะดวกมากอีกขั้นหนึ่ง โดยสามารถขึ้นทะเบียนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ ไม่ต้องพิมพ์คำขอไปยื่นที่กรมการค้าต่างประเทศ