กรณีศึกษา 'ญี่ปุ่นเปิดประเทศ'

กรณีศึกษา  'ญี่ปุ่นเปิดประเทศ'

ไม่ใช่เพียงเศรษฐกิจไทย ทุกประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบหนักจากโควิด-19 ต่างออก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจ

แคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านกำลังซื้อของคนในประเทศเพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ให้เงินหมุนเวียนในระบบที่อยู่ในภาวะฝืดเคืองเช่นนี้ แม้จะถือว่าไม่พอเพียงแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ไม่ใช่แต่เพียงประเทศไทยเท่านั้นที่ต้องพึ่งพาการค้าขายระหว่างประเทศและการท่องเที่ยว แต่ ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งประเทศที่ร่ำรวยและมีกำลังซื้อในประเทศมากเป็นทุนเดิมอย่างญี่ปุ่น ก็ต้องพึ่งพาและล้วนได้รับผลกระทบจากการปิดประเทศเพื่อป้องกันเชื้อโรคเช่นเดียวกัน

ขณะนี้ที่ภาวะการระบาดของเชื้อยังเกิดขึ้นอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก และการค้นคว้าหาวัคซีนยังไม่เป็นผลสำเร็จทำให้ การปิดพรมแดนนั้นเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด แต่ผลพวงของการปิดประเทศในเชิงเศรษฐกิจนั้นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ความคิดในการเริ่มเปิดประเทศและคัดกรองนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม และก็ถูกนำมาใช้กันในหลายประเทศ อาทิ ประเทศญี่ปุ่นที่ขณะนี้อนุมัติให้นักธุรกิจจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำเดินทางเข้าประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องกักกันโรค 14 วัน แต่จำต้องมีการรับรองสุขภาพจากต้นทางและต้องลงทะเบียนเพื่อติดตามตัวผ่านแอปพลิเคชันได้ และจำต้องมีประกันสุขภาพเผื่อกรณีจำต้องเข้ารับการรักษาและตรวจโรค

Travel Bubble หรือการเปิดพรมแดนพิเศษในระดับทวิภาคี อย่างที่ญี่ปุ่นมีข้อตกกับกับสิงคโปร์และตอนนี้เพิ่มอีกหนึ่งประเทศ คือ เกาหลีใต้นั้น เป็นวิธีการที่หลายประเทศได้เริ่มใช้ระหว่างกันแล้ว ซึ่งไทยสามารถเรียนรู้ข้อดีและเสียเพื่อหาความเหมาะสมพอดีระหว่างการควบคุมโรคกับเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นก็ยังพิจารณาถึงการผ่อนปรนประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนเพื่อเดินทางท่องเที่ยวยังญี่ปุ่นได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็คงขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมโรคของประเทศนั้นๆ และภาวะการแพร่กระจายโรคในญี่ปุ่นเองด้วย

อันที่จริงแล้ว ประเทศไทยก็ได้ชื่อว่ามีความสามารถอย่างสูงในการควบคุมการแพร่กระจายโควิด และเป็นกรณีศึกษาให้กับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งในขณะนี้ไทยก็ได้เริ่มเปิดรับนักธุรกิจจากต่างประเทศเข้าสู่ไทยแล้วภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ที่นำมาประยุกต์ใช้เพื่อปรับสมดุลระหว่างการควบคุมโรคและเศรษฐกิจ

มีการประมาณการณ์ไว้ว่า หากเงื่อนไขการแพร่กระจายโรคยังมีแนวโน้มเช่นปัจจุบัน ญี่ปุ่นจะสามารถเปิดประเทศได้อีกครั้งคือ เม.ย. 2564 ซึ่งก็ถือว่าเร็วมาก เพราะวัคซีนก็ยังอยู่ในระหว่างคิดค้นพัฒนาและทดลอง และเมื่อสำเร็จแล้วก็จะมีปัญหาเรื่องของการกระจายวัคซีน ปัญหาในทำนองเดียวกับการกระจายหน้ากากอนามัย ต่างตรง วัคซีนนั้นทำได้ยากกว่าและมีแนวโน้มเรื่องของการติดลิขสิทธิ์ด้วย

ดังนั้น การพึ่งพากำลังซื้อ เม็ดเงินของคนในประเทศ จึงมีความสำคัญและเป็นปัจจัยที่รัฐบาลในหลายประเทศออกนโยบายกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศเพื่อพยุงเศรษฐกิจ พยุงปากท้องของประชาชนให้อยู่รอดภายใต้ภาวะแห่งความฝืดเคืองและยากลำบากนี้

เราจึงควรออกมาจับจ่ายใช้สอยท่องเที่ยวในไทย เพราะเราเป็นคนไทย หากเศรษฐกิจไทยฝืดเคืองมากขึ้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือคนไทยทุกคน ดังนั้น เราจึงต้องช่วยกัน!