กรณีไอ้ไข่ .. กับมงคลชีวิตของชาวพุทธ !!

กรณีไอ้ไข่ .. กับมงคลชีวิตของชาวพุทธ !!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา .. ในทุกกาลสมัยของมนุษยชาติบนโลกใบนี้

ที่เคลื่อนไหวไปตามระยะทางแห่งกาลเวลาอันทอดตัวมายาวไกลอันยากนักที่จะนับ แต่ไม่เกินความสามารถที่จะคำนวณได้.. มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เป็นโจทย์ให้ต้องนำมาพิจารณาอยู่เสมอ ไม่ว่ากาลใดสมัยใด คือ เรื่องความเชื่อ.. กับความจริง...

เมื่อใดก็ตามหากความเชื่อกับความจริงดำเนินไปด้วยกัน ก็คงไม่เป็นปัญหาต่อการทำความเข้าใจเพื่อยอมรับ ...แต่หากเมื่อใดความเชื่อกับความจริงอยู่คนละฟากฝั่งกันและออกจะขัดแย้งกัน เมื่อนั้นเราจะเห็นความแปลกแยกในหมู่ชนที่ต่างถือตามคติและทิฏฐิของตนว่าจะเลือกข้างใด..

อย่าว่าแต่เรื่องอื่นใดเลย แม้แต่คำถามที่ว่า.. อะไรคือเหตุที่ทำให้ชีวิตเป็นมงคล ก็ยังทำให้โลกโกลาหลมายาวนานถึง ๑๒ ปีก่อนพุทธกาล ด้วยใครชอบสิ่งใด .. ยึดถือสิ่งใด เชื่อในสิ่งใด ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง.. ก็จะพากันชักชวนให้ไปยึดถือสิ่งนั้น ๆ วัตถุสิ่งของนั้น ๆ ว่าเป็นมงคล ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ภูเขา สัตว์เดรัจฉาน ผีสางนางไม้ เทพเจ้า หรือกุมารเทพอย่างไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ .. ที่ซุกซนไปตามประสาเด็ก ที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่ากุมารเทพ.. กุมารทอง.. จนเกิดการนำไปสู่การถกอภิปรายในวงกว้าง .. แผ่ไปทั่วประชาคมในชมพูทวีป ขยายเชื่อมโยงไปยังเทวดาที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมนุษย์ ตั้งแต่ภูมิเทวดาให้ถกแถลงเช่นเดียวกันกับชาวโลกว่า อะไรคือมงคลแห่งชีวิตที่แท้จริง .. ซึ่งที่สุดยังไม่สามารถหาข้อยุติได้จนลุกลามไปสู่ภพภูมิที่สูง ๆ ขึ้นไปตั้งแต่อากาศเทวดา สวรรค์ชั้นต่าง ๆ .. จนถึงพรหมโลกชั้นสุทธาวาส เป็นที่อาศัยของอริยบุคคลชั้นอนาคามี ซึ่งโดยสาระของผู้ที่บรรลุธรรมชั้นนี้แล้ว ไม่น่าจะยากต่อการเข้าใจในเรื่องมงคลของชีวิตที่แท้จริง.. แต่ก็ยังไม่ใช่วิสัยที่พึงจะอธิบายหรือวิสัชนาปัญหาดังกล่าวได้ ด้วยต้องเป็นพุทธวิสัยเท่านั้น พรหมสุทธาวาสจึงได้ฝากคำแนะนำถึงเทวดาทุกภพภูมิ .. สู่มนุษยชาติว่า.. ปัญหานี้ต่อไปอีก ๑๒ ปี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาตรัสรู้และจักทรงแสดงอริยสัจธรรมในโลกมนุษย์ให้ทุกคณะรอไปถามพระพุทธเจ้าในตอนนั้น

ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติในโลกมนุษย์ ขณะประทับในคืนหนึ่ง ณ. พระเชตวันมหาวิหาร แห่งนครสาวัตถี ท้าวสักกเทวราชพร้อมทวยเทพยดาทั้งหลายได้พากันมาเข้าเฝ้าและบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งทูลถามพระพุทธองค์ว่า อะไรคือมงคลของชีวิต .. พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น จึงได้ทรงวิสัชนาในปุจฉาธรรมดังกล่าว อันเป็นปัญหาของเทวดา ด้วยการแสดงหลักมงคลสูตรอันมี ๓๘ ประการ ที่เริ่มต้นด้วยการไม่คบคนพาล .. ให้คบแต่บัณฑิตตามพระบาลีที่เราฟังพระสวดกันจนคุ้นหูว่า.. อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญ จะ เสวะนา ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง..... เป็นต้น แด่เทพยดาเหล่านั้นจนดวงตาเห็นธรรมกันมากมาย อันนำมาสู่แบบแผนการศึกษาปฏิบัติ เพื่อความเป็นมงคลที่แท้จริงของการดำเนินชีวิตจนถึงในปัจจุบัน .. ตามที่ชาวพุทธทราบกันดี...

ดังนั้น หากเราทั้งหลายได้ศึกษาให้เข้าใจในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังกรณีทวยเทพยดาที่ได้สดับมงคล ๓๘ ประการ จนเกิดธรรมจักษุกันมากมาย ก็ย่อมสามารถพลิกผันความเชื่อให้ดำเนินไปตามความเป็นจริงที่เป็นสัจธรรมได้ไม่ยาก ด้วยพระกรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ที่ทรงปรารถนาให้สัตว์โลกสามารถพึ่งตนเองและพึ่งธรรมได้ เพื่อการ พัฒนาตนเองให้มีศักยภาพ สมฐานะความเป็นมนุษย์อันสามารถเข้าถึงความประเสริฐได้ด้วยตนเอง..

ปัญหาความเชื่อกับความจริงที่ติดค้างกันมายาวนานก็ย่อมสิ้นไปได้.. เมื่อทำความเชื่อให้ตรงกับความจริง และทำความจริงให้เข้าใจ จนเกิดความเชื่อมั่นอย่างไม่หวั่นไหวในความจริงที่เป็นสัจธรรม.. ด้วยธรรมวิธีการเจริญสติ .. จนก่อเกิดปัญญาเห็นแจ้งจริงในชีวิต ว่า แท้จริง อะไรคือมงคลของชีวิต .. และชีวิตที่แท้จริงโดยธรรมคืออะไร !?

จึงเป็นธรรมดาอย่างยิ่ง หากคนเรารู้จักคิดพิจารณาโดยแยบคาย จนก่อเกิดปัญญาคือความรู้จริง.. เพื่อการนำไปสู่การกระทำอันถูกต้องโดยธรรม จนสามารถสร้างพลังธรรมให้เกิดขึ้นในดวงจิตหรือชีวิตของตนได้ จนสามารถเพียรชอบอย่างมีสติปัญญา สามารถพึ่งพาตนเองได้ด้วยความศรัทธาที่มั่นคงต่อสัจธรรม ก็จักไม่หวั่นไหว อ่อนแอ มากไปด้วยความวิตกกังวล .. จนขาดการนำพาชีวิตไปสู่ความเชื่อที่ขาดความจริง... ให้ย้อนกลับไปไหว้บูชาป่าไม้ภูเขา สัตว์เดรัจฉาน ผีสางนางไม้ เทพเจ้า กุมารเทพ กุมารทอง ทั้งหลาย จนสูญเสียคุณค่าความเป็นสัตว์ประเสริฐที่ควรเชื่อในกฎแห่งกรรม .. อันเป็นวิสัยของบัณฑิตไปอย่างน่าสงสาร !!

 

เจริญพร

[email protected]