'คำเฉลย' จากบัฟเฟตต์

'คำเฉลย' จากบัฟเฟตต์

โลกเปลี่ยนไปแล้วสำหรับสายการบิน และผมก็ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

เมื่อวันเสาร์ที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา มีการประชุมผู้ถือหุ้น บริษัท เบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นมหกรรมสุดยิ่งใหญ่แห่งโลกทุนนิยม ทว่าปีนี้ เช่นเดียวกับอีเว้นท์สำคัญๆ ทั่วโลก คือเป็นการประชุมแบบ 'ห้องเปล่า' ไม่มีผู้ถือหุ้นเข้าร่วม อันเนื่องมาจากการระบาดของโคโรนาไวรัส

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มีการถ่ายทอดสดทางอินเทอร์เน็ต ผมจึงมีโอกาสชม และ 'แปลสด' ปาฐกถากับการตอบคำถามของ 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ประธานและ CEO ของเบิร์คเชียร์ ลงในเพจ Club VI เหมือนเช่นทุกปี ในที่นี้ ขอคัดเฉพาะไฮไลท์สำคัญบางประการมาถ่ายทอดนะครับ

เรื่องแรก คำถามที่กะเก็งกันว่า 'ปู่' ต้องตอบในปีนี้ คือเพราะเหตุใดจึงไม่มีการเข้าลงทุนใหญ่ๆ สักที ทั้งที่ตลาดหุ้นร่วงลงมาขนาดนี้ อีกทั้งบริษัทก็มีเงินสดบานตะไทเกือบ 137,000 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยกว่า 4.5 ล้านล้านบาท

คำตอบของปู่ก็คือ แกอยากซื้ออยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่เจอโอกาสที่น่าสนใจเพียงพอ อันที่จริง ก่อนที่ธนาคารกลางจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีโทรศัพท์เข้ามาเสนอขายกิจการอยู่หลายสาย แต่แล้วพอเฟดโดดมาอุ้ม บริษัทเหล่านั้นก็ได้เงินและหายไป

อย่างไรก็ตาม ปู่เน้นว่าสถานการณ์เวลานี้ยังออกได้ทุกหน้า อย่าตัดความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเหมือนเมื่อครั้ง 'The Great Depression' ซึ่งเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ แกจึงเลือกที่จะถือเงินสดให้เยอะเข้าไว้ เพื่อไม่ให้พลาดพลั้งหากโอกาสมาถึง

เรื่องที่สอง ซึ่งเป็นที่ฮือฮาอย่างยิ่ง คือปู่ประกาศว่า ได้ขายหุ้นสายการบินทั้งสี่ทิ้งหมดแล้ว รวมเป็นเงิน 6,509 ล้านเหรียญ ปู่บอกว่า 'โลกเปลี่ยนไปแล้วสำหรับสายการบิน และผมก็ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง' บัฟเฟตต์บอกว่า สายการบินเป็นธุรกิจที่ 'เจ็บหนัก' จากวิกฤตรอบนี้ จนไม่สามารถควบคุมความเสียหายได้ แกจึงยอมรับความผิดพลาดแล้วขายมันทิ้ง

ไม่เพียงเท่านั้น ปู่ยังฝากไว้ด้วยว่า ไม่รู้ว่าผู้คนจะกลับมานั่งเครื่องบินกันเป็นปกติอีกครั้งเมื่อไร เรียกได้ว่า 'มองลบ' มากๆ ทีเดียวกับธุรกิจนี้

เรื่องที่สาม ปู่ได้ไขข้อข้องใจของใครหลายคน ถึงผู้ที่จะมารับไม้ต่อในการบริหารเบิร์คเชียร์ โดยแย้มออกมาสามชื่อ ได้แก่ เกร็ก อาเบล หนึ่งในรองประธานบริษัท ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ แกแทนที่ ชาร์ลี มังเกอร์ รองประธานฯ วัย 96 ที่ปีนี้ไม่ได้มา และอีกสองชื่อคือ ท็อดด์ คอมบ์ส กับ เท็ด เวลช์เลอร์ สองผู้จัดการกองทุนของ BRK

ปู่บอกว่า ตัวแกกับมังเกอร์ยังไม่อยากเลิกทำงาน แต่ 'เราอาจต้องไปโดยไม่สมัครใจในเวลาไม่นานนัก'

ไม่แน่ว่า นี่อาจไม่ใช่แค่ 'คำเฉลย' แต่เป็นการ 'ส่งสัญญาณ' ถึงการก้าวลงจากบัลลังก์ของนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกผู้นี้ก็เป็นได้