เศรษฐกิจไทยปีนี้ถดถอยหนัก ปีหน้าจะดีขึ้น

เศรษฐกิจไทยปีนี้ถดถอยหนัก ปีหน้าจะดีขึ้น

คาดว่าจะต้องมีการออกมาตรการเพื่อประคองเศรษฐกิจรอบใหม่อีกครั้ง

วันที่ 13 เม.ย. 2563 ฝ่ายวิจัยฯ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ประเมินอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2563 (หรือ GDP ปี 2563) ของประเทศไทยจะติดลบราว -8.4% (ในกรณีที่ดี หากกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ใน 3Q63 และกลับสู่ภาวะปกติได้ใน 4Q63 คาด GDP ปีนี้จะติดลบราว -5.7%) และกลางสัปดาห์ที่ผ่านมากองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF เผยแพร่ตัวเลขคาดการณ์ GDP ปี 2563 ของโลกจะติดลบ -3% ขณะที่คาด GDP ปี 2563 ของไทยจะลดลง -6.7% (ใกล้เคียงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2541 ที่ GDP ไทยติดลบราว -7.6%) และที่น่าสนใจคือ IMF คาด GDP ไทยปี 2564 จะพลิกกลับมาเติบโต +6.1% เช่นเดียวกับฝ่ายวิจัยฯ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ที่คาดว่า GDP ปี 2564 จะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ราว +7% 

นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน i) การบริโภคภาคเอกชนปี 2563 จะลดลง -8.1% YoY โดยคาดว่าจะมีเพียงกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เท่านั้นที่จะเป็นกลุ่มหลักที่ยังเติบโตได้ราว +4.7% YoY ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนในส่วนอื่นๆ อาทิ ร้านอาหารและโรงแรม (คิดเป็น 10.6% ของ GDP) คาดจะลดลง -32% YoY, การขนส่ง (คิดเป็น 7.8% ของ GDP) คาดว่าจะลดลง -35% YoY, การสันทนาการบันเทิงและวัฒนธรรม (คิดเป็น 3.1% ของ GDP) คาดว่าจะลดลง -48.9% YoY และ การตกแต่งและอุปกรณ์สำหรับที่อยู่อาศัย คาดว่าจะลดลง -38.8% YoY ii) การลงทุนภาคเอกชนปี 2563 จะลดลง -0.9% YoY เนื่องจากคาดว่าการก่อสร้างภาคเอกชนจะลดลง -15% YoY และการลงทุนในอุปกรณ์คาดว่าจะลดลง -12.3% YoY iii) การนำเข้า-ส่งออก ปี 2563 คาดว่า มูลค่าการนำเข้าจะลดลง -17.9% YoY และมูลค่าการส่งออกคาดจะลดลง -8.9% YoY อย่างไรก็ดีการบริโภคและการลงทุนภาครัฐฯ คาดว่าจะยังเติบโตได้ราว +2.8% YoY และ +3.8% YoY ตามลำดับ สำหรับภาคการท่องเที่ยว ฝ่ายวิจัยฯคาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2563 จะลดลง -70% YoY เหลือเพียง 13.5 ล้านคน โดยประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเริ่มฟื้นตัว มีอัตราการติดลบที่ลดลงในเดือน ส.ค.2563 (คาดว่าจะติดลบราว -90% YoY ในเดือน ส.ค.2563) และตัวเลขดังกล่าว คาดจะติดลบลดลงเหลือราว -30% YoY ใน 4Q63 

อย่างไรก็ดีตัวเลขข้างต้นคือในกรณีฐาน (Base case) ที่ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังไม่สามารถกลับสู่ระดับปกติได้ภายใน 4Q63 แม้ว่ารัฐบาลจะมีการออกมาตรการประคองเศรษฐกิจรอบที่ 3 ที่มีมูลค่า 1.9 ล้านล้านบาทแล้วก็ตาม แต่หากในกรณีที่ดี (Best case) สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นเร็วกว่าคาด กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถกลับสู่ระดับปานกลางได้ใน 3Q63 และกลับสู่ระดับใกล้เคียงปกติได้ใน 4Q63 อาจทำให้ตัวเลข GDP ปีนี้ลดลงเพียง -5.7% สำหรับเงื่อนไขการฟื้นตัวของ GDP ไทยปี 2564 นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาทิ การเดินทาง การท่องเที่ยว กิจกรรมสันทนาการ ฯลฯ ต้องกลับมาเป็นปกติได้ภายในสิ้นปีนี้ 

นักเศรษฐศาสตร์ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดว่าจะต้องมีการออกมาตรการเพื่อประคองเศรษฐกิจรอบใหม่อีกครั้งก่อนสิ้น 3Q63 และคาดว่างบประมาณปี 2564 จะขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 5-7% ของ GDP นอกจากนี้ภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวแรง จะทำให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25 - 50 bps (จากปัจจุบัน 0.75%) ก่อนการประชุมวันที่ 24 มิ.ย.2563 นอกจากนี้ประเมินว่า ทั้งรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย จะต้องผ่อนคลายกฏเกณฑ์ต่างๆลงอีก  

สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าดัชนี SET index ที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งกว่าที่คาด โดยปรับขึ้นมาแล้วมากกว่า +20% จากระดับต่ำสุด เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆแล้ว ประเมินว่ามี 2 เหตุผลหลักๆคือ i) การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการเงินและการคลังของทั้งโลก (รวมถึงประเทศไทย) ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าคาด และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศหลักๆที่ลดลงต่ำมาก ส่งผลให้ Valuation ของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก (รวมถึงตลาดหุ้น) ถูก Re-rate ขึ้น และนักลงทุนเริ่มที่จะมีความเอนเอียง หรือ Bias ที่จะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง (ผมเคยเขียนบทความวิเคราะห์ประเด็นนี้ไว้ใน นสพ กรุงเทพธุรกิจ เดือน ก.ย.2562)

และ ii) ความคาดหวังถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสฯ ที่เริ่มดีขึ้น (ตลาดฯคาดหวังถึงการผ่อนคลายมาตรการรับมือ และการเตรียมทยอยเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯและยุโรป) ทำให้นักลงทุนในตลาดฯกล้าที่จะปรับมาใช้มูลค่าเหมาะสมของหุ้นไทยบนประมาณการฯปี 2564 เร็วกว่าสถานการณ์ปกติ (ตามปกติแล้ว ฝ่ายวิจัยฯ จะใช้ Valuation ปี 2564 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563) ซึ่งฝ่ายวิจัยฯเชื่อว่าดัชนี SET index ในช่วงปลายปี 2563 จะสะท้อน Valuation ปี 2564 ที่ระดับ 1,370 จุด (อิง PE 17.6 เท่า) เร็วกว่าปกติ