โลกว้าวุ่น กับคุณโกวิท

โลกว้าวุ่น กับคุณโกวิท

จนถึงนาทีนี้ ที่มนุษย์โลกอย่างเราต่างก็ยังไม่รู้คำตอบของจุดสูงสุดและจุดสิ้นสุดของไวรัส Covid-19 ว่าจะเป็นอย่างไร

เราต่าง “อยู่กับเหย้า เฝ้าหน้าจอ” ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของโรคนี้ ข่าวจริงแพร่สะพัด ผสมกับข่าวปลอมที่แทรกมาให้ประหวั่นพรั่นพรึงกันอยู่เป็นระยะ มิหนำซ้ำ ยังมีสารพัดถ้อยคำผรุสวาทกราดเกรี้ยวบนโลกโซเชียลแสดงความไม่พอใจในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดีกรีความเครียดพุ่งปรี๊ด ไม่แพ้ระดับของอุณหภูมิที่ทำท่าจะสูงขึ้นหนักหน่วง แต่ที่แน่ๆ ปีนี้อาจะเป็นปีแรกที่หลายๆ คนรู้สึกยินดีกับอากาศร้อน เพราะอย่างน้อย อาจทำให้เจ้าไวรัส Covid หรือที่หลายๆ คนเรียกว่าโกวิท ไม่สามารถทานทนอยู่ได้ เรียกว่าในร้ายยังมีดี ในร้อนยังช่วยไล่ไวรัส

หนึ่งไวรัส สะเทือนกันทั้งดวงดาวจริงๆ เรียกว่า มองไปทางไหน ก็แทบไม่มีใครไม่ได้รับผลกระทบ ยิ่งประเทศไทย เราฝากลมหายใจส่วนสำคัญไว้กับวงจรของธุรกิจการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ก็เลยมีคนเจ็บจนจุกไปตามๆ กัน ตั้งแต่เจ้าของกิจการโรงแรมใหญ่โต ห้างโก้หรู จนถึงคนขับรถ คนขายพวงมาลัยขายข้าวแกง ไม่ใช่เพียงนักท่องเที่ยวไม่มา แต่เมื่อคนไทยเองไม่ใคร่จะเดินทาง ก็ยิ่งทำให้เกิดการหยุดชะงักของกลไกลหลายๆ อย่างที่เคยขับเคลื่อน ส่วนใหญ่ ก็มีแต่เสียงบ่นของการสูญเสียประโยชน์และโอกาส สำหรับคนในอาชีพที่ดูจะฮอตฮิตกว่าปกติ เช่น คนขับรถส่งของเช่น LINE Man, Grab, Get ก็เป็นอีกเสียงคือ “เหนื่อยมาก แทบขาดใจ” เพราะใครๆ ก็กบดานอยู่บ้าน แล้วสั่งของกินของใช้ รับออเดอร์กันไม่หวาดไม่ไหว

กิจกรรมงานอีเว้นท์ต่างๆ ตั้งแต่ระดับเล็กๆ จนถึงมหกรรมระดับโลก พากันยกเลิกหรือเลื่อนไปก่อน ช่องทางทางออนไลน์ที่แต่ก่อนอาจเป็นเพียง “ตัวประกอบ” ของหลายๆ ธุรกิจ ต้องได้รับการยกระดับมาเป็น “ดารานำ” กันถ้วนหน้า สำหรับใครที่เตรียมสิ่งนี้ไว้นานแล้ว หรือมีออนไลน์ที่แข็งแรงแล้ว ก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการทดลองสมรรถะกันเต็มๆ ส่วนใครที่ยังไม่ได้เตรียมวางรากฐานไว้เพียงพอ ก็ต้องรีบสร้างกันอุตลุด แต่นั่นแหละ ทั้งกรุงโรมและรากฐานทางออนไลน์เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ไม่สามารถสร้างเสร็จได้ในวันเดียว และนี่ก็เป็นอีกบทเรียนที่เราได้ลองเจอของจริงจากวิกฤต Covid ในครั้งนี้

นอกเหนือจากหลายๆ ธุรกิจที่เริ่มรู้สึกหายใจรวยริน ตลาดทุนที่แดงทั้งกระดาน ในแง่ชีวิต เราต่างก็เต็มไปด้วยความวิตกกับความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองและคนที่รัก จากเจ้าเชื้อไวรัสที่จนถึงตอนนี้ ก็ยังคงมีการลุกลามกระจายทั่วโลก และยังไม่มียารักษา มิหนำซ้ำ หลายๆ คนยังรู้สึกสั่นคลอนกับความมั่นคงของอาชีพการงาน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้ระดับ “อารมณ์” ของคนในสังคม มีความอ่อนไหว แกว่งไกวยิ่งกว่าปกติเข้าไปอีกหลายเท่า

พออารมณ์ซึ่งแสนจะเปราะบาง อ่อนไหว กลายเป็นเครื่องชี้นำ ภาวะของสติและเหตุผลก็เลยเป็นเพียงตัวตามอยู่รั้งท้าย เราอยู่ในอารมณ์กลัวความขาดแคลน จนนำมาสู่การกักตุน หรือยอมซื้อของแพงๆ เพราะเชื่อว่ามีดีกว่าไม่มี เราเกลียด ใครก็ตาม ที่มีคนแชร์ส่งต่อกันมาว่า พูดไม่ดี ทำไม่ดี โดยไม่รู้ว่าข้อเท็จจริง เป็นขนาดนั้นหรือไม่ เราจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องเป็นราวโดยมีต้นตอมาจากสิ่งที่เป็นข่าวลือ และด้วยอารมณ์เช่นนี้ เราอาจตกเป็นเครื่องมือของใครก็ได้ โดยไม่รู้ตัว

จริงอยู่ กันย่อมดีกว่าแก้ ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่าประมาท แต่อย่าให้ความกลัว ความเกลียด มาทำให้เราเพลี่ยงพล้ำกับคนโลภหรือคนที่ไม่ปรารถนาดี มีสติรับมือกับวิกฤตทั้งระดับบุคคล ครอบครัว และสังคม แล้วเราจะก้าวข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน 

เพราะทั้งงานเลี้ยง ไวรัส และหุ้นร่วง ย่อมมีวันเลิกรา...