โลกที่อยู่ได้และอยู่ไม่ได้ 30 ปีข้างหน้า

โลกที่อยู่ได้และอยู่ไม่ได้ 30 ปีข้างหน้า

อาทิตย์ที่แล้ว เพื่อนนักธุรกิจส่งบทความหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน์ (The Guardian) ของอังกฤษมาให้ 2 บทความ

เป็นข้อเขียนที่สรุปสองความเป็นไปได้ของภาวะโลกร้อนที่จะเกิดขึ้น 30 ปีจากนี้ไป สรุปความจากหนังสือชื่อ อนาคตที่เราเลือก” (The Future We Choose) เขียนโดย คริสเตียนน่า ฟิกเกอร์เรส (Christinna Figueres) และทอม ริเวต คาเนด(Tom Rivett – Carnac) สองนักต่อสู้เพื่อการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ซึ่งน่าสนใจมาก

บทความชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์โลกร้อน 30 ปีจากนี้ไป ในกรณีที่เราไม่ทำอะไรที่จะแก้ปัญหาวันนี้ผลคือโลกที่อยู่ไม่ได้ หรือโลกที่จะไม่มีใครอยู่ได้ในปี 2050 อีกกรณีคือ กรณีที่ปัญหาเริ่มมีการแก้ไขจริงจังวันนี้ ที่ 30 ปีข้างหน้าจะเป็นโลกที่อยู่ได้ และอยู่ได้ดีกว่าโลกในปี 2020 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ที่น่าตกใจคือ ความแตกต่างระหว่างโลกที่อยู่ได้และอยู่ไม่ได้ ซึ่งหมายถึงความเป็นความตายของมนุษยชาติ จึงสำคัญที่เราต้องเข้าใจและให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อนและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างจริงจัง เพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือสาระของบทความอาทิตย์นี้

กรณีเราเลือกที่จะแก้ไขปัญหาวันนี้ ปี 2050 โลกจะลดการปล่อยมลพิษจากระดับปี 2020 ได้กว่าครึ่ง อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะร้อนขึ้นไม่เกิน 1.5 เซลเซียสถึงปี 2100 พื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกจะสดชื่น อากาศสะอาด มีละอองน้ำแม้แต่ในเมือง สดชื่นเหมือนเดินอยู่ในป่าและบริสุทธิ์กว่ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ 200 ปีก่อน เป็นผลจากต้นไม้ที่มีอยู่ทั่วไปทั่วโลก ที่ช่วยซื้อเวลาเพราะต้นไม้เปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ในอากาศมาเป็นออกซิเจน ลดวิกฤติที่มาจากอากาศแย่ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนเป็นโลกสีเขียวที่คนจำนวนมากไม่เคยสัมผัสมาก่อน

แต่ตัวเปลี่ยนแปลงสำคัญมาจากการปฏิรูปวิถีความเป็นอยู่ของคนทั้งในเมืองและชนบท พื้นที่โลกกว่า 50%เป็นป่า ภาคเกษตรเน้นปลูกไม้ยืนต้น พื้นที่ว่างมีน้อยลง มีป่าและสวนผลไม้เข้ามาสลับยาวเป็นกิโลฯ เป็นสวรรค์ของแมลงเกสรที่สร้างความชุ่มชื้นให้กับโลก

การใช้พลังงานเปลี่ยนขนานใหญ่ น้ำมันกลายเป็นอดีต ทุกอย่างเป็นพลังงานหมุนเวียน จากลม แสงอาทิตย์ น้ำหรือความร้อนใต้ดิน ตึกทุกตึก บ้านทุกหลังสร้างไฟฟ้าเองจากพลังแสงอาทิตย์ ทุกที่ที่ลมแรง มีกังหันลม ถ้าบ้านสร้างไฟฟ้าได้มากกว่าที่ใช้ ส่วนเกินก็จะถูกส่งเข้าระบบกลางทำให้โลกมีพลังงานเหลือเฟือ ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีค่าใช้จ่าย

การใช้พลังงานเปลี่ยนขนานใหญ่ น้ำมันกลายเป็นอดีต ทุกอย่างเป็นพลังงานหมุนเวียน จากลม แสงอาทิตย์ น้ำหรือความร้อนใต้ดิน ตึกทุกตึก บ้านทุกหลังสร้างไฟฟ้าเองจากพลังแสงอาทิตย์ ทุกที่ที่ลมแรง มีกังหันลม ถ้าบ้านสร้างไฟฟ้าได้มากกว่าที่ใช้ ส่วนเกินก็จะถูกส่งเข้าระบบกลางทำให้โลกมีพลังงานเหลือเฟือ ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีค่าใช้จ่าย

บ้านทุกหลัง ตึกทุกตึก มีระบบเก็บตุนน้ำฝน ใช้พลังงานหมุนเวียนทำน้ำให้สะอาดเหมือนกลั่นน้ำทะเล ทำให้น้ำในทุกพื้นที่ของโลกสามารถดื่มได้ ใช้รดต้นไม้ และใช้ในชีวิตประจำวันได้ รถที่ใช้น้ำมันเป็นของต้องห้าม รถทุกคันเป็นรถไฟฟ้าที่ถูกพัฒนาจนดีกว่ารถที่ใช้น้ำมันทุกด้าน คนแชร์การใช้รถมากขึ้น เพราะไม่ต้องขับ ของต่างๆ ถูกส่งโดยโดรน การขนส่งสาธารณะมีประสิทธิภาพจนไม่จำเป็นต้องมีรถ พื้นที่ที่เคยเป็นที่จอดรถ เปลี่ยนมาเป็นพื้นที่สาธารณะให้คนเดินหรือใช้จักรยาน

แต่แม้การปล่อยมลพิษจะลดลง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศก็ยังหนาแน่นจากการสะสมในอดีต อากาศแปรปรวนมากยังมีอยู่แต่น้อยกว่าที่อาจเกิดขึ้นถ้าการแก้ไขปัญหาไม่เกิดขึ้น ระดับน้ำทะเลยังเพิ่มขึ้น ภัยแล้งยังกระทบความเป็นอยู่ของคน ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอาหาร น้ำและสาธารณสุขในบางพื้นที่ แต่โลกมีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ดีขึ้น พร้อมที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือกัน เพราะความรู้สึกว่าเราอยู่ในโลกเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดขึ้น ในปี 2020 หลังคนรุ่นหนุ่มสาวออกมาตีระฆังและเตือนสังคมเรื่องการบริโภค การแข่งขัน และความโลภที่มุ่งแต่กำไรและฐานะในสังคมที่ได้ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างราบคาบ นำโลกไปสู่ปากเหวของมหันตภัย แต่ก็รอดมาได้ และไม่เพียงรื้อฟื้นระบบนิเวศน์ให้กลับมาเป็นธรรมชาติ แต่ทำให้มนุษยชาติสามารถไปต่อได้ ไม่จบสิ้นเหมือนที่เคยวิเคราะห์กัน 

กรณีที่สองที่เราเลือกไม่แก้ไขปัญหา ไม่ทำอะไรเลย อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 องศาเซลเซียสในปี 2100 เป็นโลกที่ไม่มีใครอยู่ได้

ในปี 2050 อากาศทั่วโลกเลวร้าย ร้อน หนัก เต็มไปด้วยมลพิษ ผู้คนน้ำตาไหล ไอไม่หยุด ใส่หน้ากากตลอดเวลา ไม่มีอากาศสดชื่น อยู่กันแต่ในบ้าน ทำงานในบ้านในตึก เพราะมลพิษจากท่อไอเสียรถยนต์และรถโดยสารล้านๆ คัน ที่พ่นควันตลอดเวลา อากาศในโลกร้อนขึ้น ป่าและต้นไม้ถูกทำลายโดยไฟป่าจนเหลือน้อยมาก โลกร้อนขึ้นทำให้หลายพื้นที่คนอยู่ไม่ได้ อากาศแปรปรวนรุนแรง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น หมู่บ้านและเมืองถูกทำลายจากน้ำท่วม คนเป็นล้านๆ ไม่มีที่อยู่ ต้องหนีไปพื้นที่สูง ภัยธรรมชาติทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ประชากรขาดน้ำ ขาดไฟ คุณภาพความเป็นอยู่เลวร้าย เกิดโรคระบาด คนจำนวนมากขึ้นๆ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ประชากรกว่า 2 พันล้านคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ๆ ร้อนที่สุดของโลกถูกกระทบมาก อุณหภูมิอาจเพิ่มสูงถึง 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อยเกือบ 2 เดือนในหนึ่งปี ผู้คนจะอพยพย้ายไปประเทศที่เย็นกว่า สร้างปัญหาผู้ลี้ภัย การจราจล และการแย่งชิงอาหารและน้ำ ผลิตผลภาคเกษตรไม่เพียงพอและไม่แน่นอน ทำให้อาหารหายาก ประเทศที่มั่งคั่งก็กลัว เพราะปัญหาโลกร้อนมาถึงจุดที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แม้จะมีความมั่งคั่งมหาศาล คนตายจากความหิวโหย โรคภัยไข้เจ็บ และการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด เหมือนมนุษยชาติกำลังถึงจุดสุดท้าย ทุกคนโกรธคนรุ่นก่อนที่ไม่ยอมทำอะไร มีแต่สร้างปัญหาไว้โดยไม่แก้ไข จนโลกกลายเป็นโลกสีดำที่ไม่มีวันหวนกลับ

ผมอ่านแล้วเห็นด้วยกับสองบทความนี้และคิดว่า เราต้องพยายามทำความเข้าใจมากขึ้นถึงความเร่งรีบของปัญหาโลกร้อนโดยเฉพาะในประเทศเรา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา เรื่องนี้ต้องยอมรับว่า เราได้ละเลยกันมาตลอด ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือ ทุกคนต้องพยายามเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา ผลักดันผู้ทำนโยบายให้เข้าใจถึงความสำคัญของปัญหาและเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่นิ่งดูดาย เพื่อให้คนไทยรุ่นลูก รุ่นหลาน มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีต่อไปในโลกใบนี้