ทุกอย่างล้วนมีช่องว่างให้เติบโตหากหาจังหวะและโอกาสได้ถูกต้องเหมาะสม
เดือนแรกของปี 2563 กำลังจะผ่านพ้นไป ผู้อ่านหลายท่านอาจโล่งใจที่สถาณการณ์ความวุ่นวาย ทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ดูเหมือนจะคลี่คลายลง เพราะช่วงปลายปีที่ผ่านมานั้นเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากพอควร
ระบบเศรษฐกิจของไทยนั้นเน้นการส่งออกเป็นหลัก และเป็นการส่งออกที่แทบจะไม่มีสินค้าที่เป็นของตัวเอง ยกเว้นสินค้าทางการเกษตรและการประมง เพราะประเทศไทยเน้นการผลิตชิ้นส่วนประกอบสำหรับทุกอุตสาหกรรม เราจึงเป็นศูนย์กลางของอะไหล่รถยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ
ซึ่งนั่นเป็นเพราะนโยบายด้านอุตสาหกรรมของเราเน้นการเป็นหนึ่งในระบบซัพพลายเชนของโลก เราจึงเป็นผู้นำในการผลิตชิ้นส่วนจนมีบทบาทในเวทีโลก แต่ไม่เน้นการผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง
ดังนั้นเมื่อตลาดใหญ่คือประเทศจีนที่ต้องซื้อชิ้นส่วนจากไทยไปประกอบเป็นสินค้าต่างๆ ได้รับกระทบเพราะถูกกีดกันทางการค้า เราก็โดนผลกระทบด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความผันผวนที่เกิดขึ้นครั้งนี้มาจากความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมันได้กลายเป็นนิวนอร์มอลหรือความปกติที่เต็มไปด้วยความผันผวนของสังคมโลกในทุกวันนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้บริหารจึงไม่อาจนำมาใช้เป็นข้ออ้างได้อีกต่อไป
แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่จีนกับอเมริกาเท่านั้น ภาวะจลาจลที่เกิดขึ้นในฮ่องกงก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าน้ำผึ้งหยดเดียวจากกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะบานปลายจนทำให้มีการประท้วงที่สร้างความเสียหายได้ขนาดนั้น
เช่นเดียวกับเลบานอนและชิลีซึ่งเกิดการประท้วงและการชุมนุมครั้งใหญ่โดยที่ไม่มีผู้นำการประท้วงเหมือนเช่นเคย แต่เป็นพลังของประชาชนที่มาร่วมชุมนุมกันโดยการนัดหมายผ่านโซเชียลมีเดีย ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นเพราะไม่มีคนกำหนดทิศทางของการชุมนุม ความรุนแรงของการประท้วงจึงเกิดขึ้น เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
เช่นเดียวกับภาวะโลกร้อนที่เกรต้า ธันเบิร์กที่จุดประกายขึ้นเพราะไม่อยากรับภาระที่ผู้ใหญ่ผลักมาให้เด็กรุ่นใหม่ จนองค์กรสหประชาชาติต้องยกระดับให้เป็นภาวะวิกฤติที่ทั่วโลกต้องร่วมกันแก้ไขก่อนที่น้ำจะท่วมโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ทั้งหมดนี้ทำให้ภาวะเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมาขยายตัวที่ระดับ 3.4% โดยเกิดภาวะซบเซาและทรงตัวเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงเอเชียเท่านั้นที่ยังทะยานในระบบเศรษฐกิจโลกด้วยอัตราการเติบโต 5.9% ส่วนของไทยนั้นเกือบต่ำที่สุดในเอเชียคือ 2.7%
ปัญหาใหญ่ของบ้านเราก็คือเสถียรภาพทางการเมือง นับตั้งแต่ปีที่แล้วที่การเลือกตั้งล่าช้า จนทำให้ช่วงท้ายปีจนถึงขณะนี้ รัฐบาลแทบจะยังไม่มีการใช้จ่ายใดๆ ส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจโดยตรง เมื่อรวมกับภาวะซบเซาของเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขี้น
หันมาดูตลาดไอทีในช่วงปลายปีที่แล้วก็ยังอยู่ในภาวะทรงตัว ทั้งเลอโนโว, เอชพี,เดลล์ แอ๊ปเปิ้ล, เอเซอร์, เอซุส ที่เป็นตัวหลักในอุตสาหกรรมไอทีโลก เช่นเดียวกับตลาดมือถือซึ่งมีซัมซุง, หัวเว่ย, แอ๊ปเปิ้ล, เสี่ยวหมี่, ออปโป้ และวีโว่ที่เติบโตเล็กน้อยเช่นกัน
การจะเติบโตได้ในภาวะเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างล้วนมีช่องว่างให้เติบโตหากหาจังหวะและโอกาสได้ถูกต้องเหมาะสม