The World Economic Forum ได้ระบุในรายงานตั้งแต่ปี 2018 ว่าข่าวปลอม (FakeNews) และข้อมูลปลอมเป็นภัยเสี่ยงสำคัญในระดับโลก
ซึ่งตรงกับผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบัลติมอร์ที่ประมาณว่า FakeNews อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจทั่วโลกถึง 78,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และอาจส่งผลเสียหายต่อตลาดหุ้นปีละถึง 39,000 ล้านดอลลาร์ โดยการศึกษาของมหาวิทยาลัยบัลติมอร์ยังระบุว่า นักการตลาดอาจสูญเสียเงินกว่า 1,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2019 ไปกับการโฆษณาออนไลน์ที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์จริงและฟอลโลเวอร์ที่ไม่มีตัวตน
เทคโนโลยีให้คุณประโยชน์และโทษภัยต่อมนุษย์ สังคมและเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกับสิ่งต่างๆ ที่รายล้อมผู้คนอยู่หากเทคโนโลยีนั้นถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดหรือขาดจริยธรรม
ร่วมกันหยุด DeepFake
สุภาษิตที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ดูจะใช้ไม่ได้กับโลกยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีอย่าง “DeepFake” สามารถปลอมภาพและเสียงของผู้คนในวิดีโอได้อย่างแยบยลและง่ายด้วยภาพเพียงไม่กี่ภาพ โดยการซ้อนภาพเคลื่อนไหวปลอมลงบนภาพของบุคคลจริง ซึ่งนับวันจะยากเกินกว่าที่จะพิสูจน์ว่าเป็นวิดีโอปลอมเพียงการตรวจสอบด้วยตาเปล่า แต่ความง่ายในการผลิตวิดีโอปลอมและข่าวปลอมซึ่งแผ่กระจายอย่างรวดเร็วในโซเชียลมีเดียกำลังสร้างความเสียหายมากมายให้กับสังคม เศรษฐกิจและประเทศทั่วโลก
จนบริษัทดิจิทัลหลายค่าย อาทิ กูเกิล เฟซบุ๊ค ไมโครซอฟท์และอเมซอนต่างร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำและพันธมิตรในการสร้างและเผยแพร่ ข้อมูลและไฟล์ทดสอบจำนวนมากรวมถึงอัลกอริทึม (Algorithm) และให้ใช้แพลตฟอร์ม เพื่อให้นักพัฒนาใช้สร้างแอพพลิเคชั่นเพื่อตรวจวิดีโอปลอมรวมถึงไฟล์ภาพและเสียงปลอมที่ถูกสร้างมาจาก DeepFake โดยเชื่อว่าการเปิดกว้างของการค้นคว้าเพื่อตรวจจับวิดีโอ DeepFake เป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาและป้องกันผู้คนและสังคมจากความเสียหายของเทคโนโลยีนี้
AI เพื่อมนุษยชาติ
ผลการศึกษาของ MIT ร่วมกับ IBM Watson AI Lab พบว่า AI จะสามารถแทนที่งานที่มีลักษณะเป็นขั้นตอนแบบอัตโนมัติซึ่งเครื่องจักรสามารถทำได้ และอัลกอริทึมของ AI จะช่วยลดงานที่สามารถทำได้ด้วยระบบหรือคอมพิวเตอร์ เช่นการคำนวณราคาสินค้าของฝ่ายขาย เท่ากับเปิดโอกาสให้พนักงานฝ่ายขายใช้เวลาในการดูแลลูกค้าหรือออกแผนโปรโมชั่นที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ จึงเป็นการลดงานบางอย่างเพื่อไปใช้เวลากับงานที่ AI ไม่มีความสามารถที่จะทำได้นั่นเอง โดยในขณะที่ AI ลดงานในบางลักษณะก็ได้เปลี่ยนลักษณะงานไปเป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะความชำนาญแบบใหม่มาแทน ทำให้ตลาดงานต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการในธุรกิจ
อัลกอริทึมใน AI เป็นหัวใจในการตัดสินใจหรือเลือกคำตอบที่คิดว่าถูกต้อง ซึ่งหากอัลกอริทึมที่ใช้มีอคติ (Bias) อาจให้ผลที่ผิดพลาด และหาก AI นั้นถูกใช้ในงานสำคัญก็อาจสร้างผลเสียหายมากมาย ดังนั้นจึงเกิดคำเรียกร้องและความร่วมมือเพื่อพัฒนาและใช้ AI ให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมอย่างมีจริยธรรม อาทิ การคำนึงถึงการปกป้องข้อมูลความเป็นส่วนตัว (Privacy) ความไม่อคติ ไม่แบ่งสีผิว การใช้ AI ในงานเสี่ยงอันตรายที่มนุษย์ต้องทำ เช่นการต่อสู้เพลิงป่าหรือการช่วยชีวิต กระทั่งการประหยัดพลังงานในการประมวณผลของ AI ดังจะเห็นได้จากกิจกรรมที่เกิดขึ้น เช่น AI for Good หรือ NeurIPS เป็นต้น
ความหวังกับ CRISPR
เรื่องราวการตัดต่อพันธุกรรม (Gene-Editing) โดยนวัตกรรมคริสเปอร์ (CRISPR) อาจเป็นฝันร้ายหากการตัดต่อพันธุกรรมเกิดขึ้นที่ “Germ Cell” เช่นการตัดต่อ DNA ของไข่ สเปิร์มหรือเอ็มบริโอ (Embryo) จนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนพันธุกรรมที่ผิดพลาดและไม่สามารถย้อนคืนได้ โดยเฉพาะหากกระทำกับ DNA ในมนุษย์ พันธุกรรมที่เปลี่ยนไปจะถูกถ่ายทอดต่อไปยังรุ่นลูกหลานซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อสายพันธุ์มนุษย์ตลอดไป
ตลอดจนนวัตกรรม “Gene Drive” ที่อาจใช้เพื่อทำลายพันธุ์สัตว์บางชนิดให้สูญพันธุ์ไปได้
แต่ CRISPR ก็ได้สร้างความหวังในการพัฒนาพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาวะน้ำเค็มหรือในพื้นที่กันดารขาดแคลนน้ำ เพื่อรับมือกับปัญหาภาวะโลกร้อนที่เผชิญอยู่ในหลายพื้นที่ รวมถึงงานวิจัยด้านการปศุสัตว์เพื่อพัฒนาอาหารให้เพียงพอกับจำนวนประชากรของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนการรักษาโรคทางพันธุกรรมของมนุษย์ เช่น โรคโลหิตจางและโรคโลหิตไหลไม่หยุด หรือการรักษาโรคเอดส์และโรคมะเร็ง เป็นต้น
อนาคตจากน้ำมือมนุษย์
มนุษย์อาจไม่ต้องเสาะแสวงหาดาวดวงใดเพื่อไปตั้งถิ่นฐานใหม่ หากเรารักษาและพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ยั่งยืน ใช้เทคโนโลยีและทรัพยากรกับสิ่งที่ดีและปกปักษ์รักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มนุษย์พยายามคิดค้นเทคโนโลยีและพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการดำรงชีพซึ่งคงดีไม่น้อยหากมนุษย์ร่วมมือกันสร้างแต่สิ่งที่ดี ไม่ก่อภัยเพื่อสร้างความเสียหายแก่ผู้คนหรือทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ร่วมกันใช้เทคโนโลยีและทรัพยากรอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม