ใครๆ ก็อยากซื้อบ้านในอเมริกา ไม่มีใครเอาจีน

ใครๆ ก็อยากซื้อบ้านในอเมริกา ไม่มีใครเอาจีน

ในความรู้สึกของคนไทยบางส่วนที่ถูก “ปิดหูปิดตา” เราอาจรู้สึกว่าสหรัฐเป็นประเทศที่ไม่ปลอดภัย มีข่าวร้ายยิงกันมากมาย

แต่จีนปลอดภัย ไม่มีปัญหาก่อการร้าย แต่นั่นอาจเป็นแค่สงครามข่าวสาร อันที่จริงทั่วโลกอยากไปซื้อบ้านอยู่ในสหรัฐกันทั้งนั้น แทบไม่มีใครอยากไปซื้อบ้านในจีน

ผู้เขียนในฐานะประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้สำรวจตลาดความต้องการซื้อบ้านในต่างประเทศ จากประเทศต่างๆ หลายแห่ง พบว่า สหรัฐเป็นประเทศที่มีผู้นิยมไปซื้อบ้านมากที่สุดแห่งหนึ่ง จีนนั้นเทียบไม่ได้เลย (https://bit.ly/32KckJ2) จีนอาจดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ แต่ดึงดูดให้คนไปปักหลักปักฐานไปทำธุรกิจอย่างยั่งยืนและอพยพไปอยู่อาศัยคงไม่ได้เรื่อง

สหรัฐเป็นประเทศยอดนิยมที่สุดสำหรับเป้าหมายในการไปเลือกซื้อบ้านหากมีโอกาสไปซื้อบ้านได้ ทั้งนี้ระเทศที่นิยมไปซื้อบ้านในสหรัฐมากที่สุดได้แก่ อินเดีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยถือเป็นทางเลือกอันดับที่ 1 ส่วนที่คิดจะไปซื้อบ้านอยู่อาศัยหรือซื้อบ้านเพื่อการลงทุนในประเทศจีนอยู่ในอันดับที่ต่ำมาก

ประเทศสำคัญที่มีประชากรจำนวนมากเหล่านี้นิยมสหรัฐเป็นอย่างมาก คนอินเดียชอบไปอยู่สหรัฐไม่แพ้ไปอังกฤษที่เป็นเจ้าอาณานิคมเดิม เวียดนามก็มีชาวเวียดเกี่ยวหรือชาวเวียดนามโพ้นทะเลอยู่ในสหรัฐมากมาย ส่วนฟิลิปปินส์ก็เป็นอาณานิคมเดิมของสหรัฐ และชาวฟิลิปปินส์นิยมไปอยู่ในสหรัฐมาก เชื่อว่าถ้าได้มีโอกาสไปถามชาวญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ก็คงคิดจะไปซื้อบ้านในสหรัฐกันทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเทศกัมพูชา ไทย มาเลเซีย เมียนมา และอินโดนีเซียที่ไม่ได้นิยมซื้อบ้านในสหรัฐเป็นอันดับที่หนึ่ง โดยเลือกที่จะซื้อเพียงประมาณ 3-8% เท่านั้น เพราะประเทศเหล่านี้นิยมซื้อบ้านในประเทศเพื่อนบ้านด้วยกันเองมากกว่า หรือประเทศในทวีปออสเตรเลียที่ไม่ห่างไกลเท่าสหรัฐ อย่างไรก็ตามสัดส่วนของผู้ที่คิดจะซื้อบ้านในจีนก็ถือว่าต่ำมากหรือแทบไม่มีเลยเมื่อเทียบกับผู้ที่สนใจซื้อบ้านในสหรัฐ ทั้งนี้ในกรณีมาเลเซียสนใจซื้อบ้านในอังกฤษมากกว่าในสหรัฐเป็นอย่างมากเพราะเป็นประเทศเจ้าอาณานิคมมาก่อน

อาจกล่าวได้ว่าสหรัฐเป็นประเทศที่ประเทศโลกที่ 3 สนใจย้ายไปซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แม้แต่จีนเองก็ยังเลือกซื้อบ้านในสหรัฐเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด ยกเว้นปีล่าสุดที่สนใจซื้อบ้านในไทยเป็นอันดับหนึ่ง (เพื่อการเก็งกำไร) และเป็นสหรัฐเป็นอันดับสอง ตามด้วยออสเตรเลีย แคนาดา และนิวซีแลนด์ เพื่อไปอยู่อาศัยจริงหรือเป็นบ้านหลังที่สอง (https://bit.ly/2QfDUeI) แต่คงแทบไม่มีคนอเมริกันคิดจะไปซื้อบ้านในจีนเป็นแน่

อันที่จริงสหรัฐเป็นประเทศแห่งโอกาส การไปค้าขายหรือทำธุรกิจ มีโอกาสเจริญเติบโต มีการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม มีความเท่าเทียมและมีความโปร่งใสสูง ส่วนการทุจริตมีอยู่ในระดับต่ำมาก แต่นักลงทุนต่างชาติคงหาสิ่งเหล่านี้ได้ยากในการไปลงทุนในประเทศจีน คนต่างชาติจากทั่วโลกจึงนิยมไปตั้งรกรากในสหรัฐ หรืออย่างน้อยก็ส่งลูกหลานไปเรียนต่อที่นั่น

จากข้อมูลล่าสุด (https://bit.ly/2OztzYA) ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐเป็นมูลค่า 7.79 หมื่นล้านดอลลาร์ (ในช่วง เม.ย.2561-มี.ค.2562) หรือเป็นเงินถึง 2.4 ล้านล้านบาท หรือใหญ่กว่าตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑลถึงเกือบ 6 เท่าตัวเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อนี้ลดลงจากปี 2561 ถึง 36% เพราะในปีก่อนหน้าต่างชาติซื้อทรัพย์สินในมูลค่ารวมกันถึง 1.21 แสนล้านดอลลาร์ ยิ่งเมื่อเทียบกับปี 2560 มูลค่าการซื้อของชาวต่างชาติสูงกว่ามูลค่าในปี 2562 ถึง 1 เท่าตัว ขณะนี้อยู่ในภาวะ ขาลงแต่ก็ยังมีจำนวนผู้ซื้อและมูลค่าการซื้อมหาศาลเมื่อเทียบกับในประเทศไทย

จำนวนหน่วยขายที่ขายให้กับชาวต่างชาติในปี 2562 นี้ เกือบทั้งหมดก็คือบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว (มือสอง) โดยมีรวมกันถึง 183,100 หน่วย หรือราว 3% ของบ้านที่ขายทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน การซื้อบ้านส่วนใหญ่เป็นของคนภายในสหรัฐเอง ถ้าต่างชาติไม่มาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ เขาก็ไม่สะเทือน ต่างจากกรณี กทม.ที่มีคนต่างชาติมาซื้อถึง 13% ของจำนวนหน่วย หรือ 19% ของมูลค่า ถ้าเกิดต่างชาติเลิกมาซื้อก็คงทำให้การผลิตที่อยู่อาศัยลดลงทันตาเห็นเลย (https://bit.ly/2KpIiDa) ตลาดที่อยู่อาศัยไทยจึงเปราะบางเพราะเราส่งเสริมให้โตโดยขายต่างชาติ ทั้งที่ในประเทศเพื่อนบ้านเขาไม่เน้นการให้ต่างชาติมาซื้อ (https://bit.ly/2KX0nrl)

สำหรับราคาบ้านที่ต่างชาติซื้อในสหรัฐนั้นตกเป็นเงิน 2.806 แสนดอลลาร์หรือ 8.7 ล้านบาท ในขณะที่ราคาบ้านมือสองทั่วไปในสหรัฐมีราคาเฉลี่ยเป็นเงิน 2.596 แสนดอลลาร์ หรือ 8.1 ล้านบาท ในจำนวนบ้านที่คนต่างชาติซื้อนั้นปรากฏว่า 8% ของชาวต่างชาติที่มาซื้อ ซื้อบ้านในราคามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์หรือ 31 ล้านบาท ข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ 41% ของชาวต่างชาติที่มาซื้อบ้านในสหรัฐนั้นจ่ายเป็นเงินสด และ 47% ของผู้ซื้อเป็นผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ไม่ได้ซื้อเก็งกำไรแบบที่ต่างชาติ (จีน) มาซื้อห้องชุดใน กทม.

ผู้ที่ซื้อบ้านในสหรัฐนั้นมาจากประเทศจีนเป็นอันดับแรก โดยซื้อเป็นเงินถึง 1.34 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือเป็นเงิน 4.154 แสนล้านบาท (พอๆ กับขนาดที่อยู่อาศัยที่ผลิตในแต่ละปีในเขต กทม.และปริมณฑล) รองลงมาเป็นแคนาดา (8,000 ล้านดอลลาร์) อินเดีย (6,900 ล้านดอลลาร์) อังกฤษ (3,800 ล้านดอลลาร์) และเม็กซิโก (2,300 ล้านดอลลาร์) ในจำนวน 5 ประเทศที่มาซื้อบ้านในสหรัฐมากขึ้นข้างต้นนี้ มีมูลค่าการซื้อเท่ากับครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นผู้ซื้อจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก แต่มาในปี 2562 สัดส่วนของ 5 ประเทศนี้เป็นราว 44% แสดงว่าการซื้อของนักลงทุนจาก 5 ประเทศใหญ่ลดลง และมีผู้ซื้อจากประเทศเล็กๆ เพิ่มมากขึ้น

มลรัฐที่มีผู้ซื้อต่างชาติมากที่สุดก็คือฟลอริดา (20%) แคลิฟอร์เนีย (12%) เท็กซัส (10%) อะริโซนา (5%) และนิวเจอร์ซี (4%) โดยมักจะซื้อบ้านในย่านชานเมืองของนครต่างๆ ในรัฐนี้ อย่างนิวเจอร์ซีก็ถือเป็นเมืองพักอาศัย (Bed City) ของคนที่ทำงานในมหานครนิวยอร์ก เป็นต้น และบ้านที่นิยมซื้อนั้นส่วนใหญ่ (76%) ก็คือบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นบ้านที่มีอยู่มากที่สุดในสหรัฐ (https://bit.ly/2KQ8xDX)

แม้ในระยะหลังมานี้จะมีผู้มาซื้อที่อยู่อาศัยในสหรัฐลดน้อยถึงราวครึ่งหนึ่งของปี 2560 แต่ก็ยังมีมูลค่ามหาศาล และไม่มีชาติไหนในโลกที่มีคนนิยมซื้อบ้านเพื่อไปอยู่อาศัยเท่าสหรัฐอีกแล้ว โดยเฉพาะจีนคงแทบหาคนอยากไปตั้งรกรากหรืออยู่อาศัยในระยะยาวไม่ได้ ทั้งนี้เพราะความน่าเชื่อถือแตกต่างกัน อย่างในจีนมีการโกงลูกค้าบ้านถึงขนาดสร้างสระว่ายน้ำเทียม ด้วยการปูพื้นสีฟ้าเพื่อลวงว่าเป็นสระว่ายน้ำก็มีมาแล้ว (https://bit.ly/2KHHJ8R)

ถ้าพูดถึงความ "เขี้ยว" เขาว่าถ้าเจองูกับเจอแขก ต้องตีแขกก่อนตีงู แต่ถ้าเจอนายทุนพันธุ์คอมมิวนิสต์จีน อาจต้องตีจีนก่อน (ฮา)