โอกาสในการขับรถหรูผ่านระบบสมาชิก

โอกาสในการขับรถหรูผ่านระบบสมาชิก

สำหรับธุรกิจรถยนต์นั้น ถ้านึกถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่การ Disrupt ธุรกิจ ก็จะหนีไม่พ้นเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

หรือ รถยนต์ไร้คนขับ (Driverless) อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทรถยนต์หลายๆ แห่งกำลังอยู่ระหว่างการค้นหารูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำตัวแบบธุรกิจที่เป็นระบบสมาชิก (Subscription) เข้ามาใช้กับธุรกิจรถยนต์

เมื่อนึกถึงคำว่า Subscription Model ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือการบอกรับสมาชิกของผู้ให้บริการเนื้อหาทางด้านดิจิทัลต่างๆ เช่น Netflix หรือ Spotify ที่อาศัยการ Stream เนื้อหาทางด้านดิจิทัลสู่เหล่าสมาชิก ทีนี้ลองนึกดูว่าถึงการนำระบบสมาชิก (Subsciption model) มาใช้กับธุรกิจรถยนต์ดูบ้าง

แทนที่ผู้บริโภคจะต้องเสียเงินซื้อรถยนต์ดีๆ ในราคาหลักล้านหรือหลายๆ ล้าน และจะต้องใช้รถยนต์รุ่นดังกล่าวไปอีกหลายๆ ปี แต่ถ้าเข้าไปเป็นสมาชิกของระบบแล้ว สามารถที่จะเลือกรุ่นที่อยากจะขับและเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แถมไม่ต้องปวดหัวกับการดูแลรักษารถยนต์ การเข้าศูนย์เพื่อดูแล และยังได้รับประกันอุบัติภัยในช่วงที่ขับรถอีกต่างหาก ตัวอย่างของบริษัทรถยนต์ชั้นนำของโลกที่เริ่มทดสอบการนำระบบสมาชิกมาใช้แล้ว เช่น

BMW ที่ได้ออกโปรแกรม Access by BMW ที่มีค่าสมาชิกรายเดือนอยู่ 3 ระดับ และแต่ละระดับก็เลือกขับรถได้ในรุ่นที่แตกต่างกัน (สมาชิกสามารถที่จะเปลี่ยนรถขับได้ตลอดเวลาตราบใดที่อยู่ภายในกลุ่มราคาที่ได้เลือกไว้) ตั้งแต่ $1,099 (ได้ขับ 330i, 330e, i3, X2, M240i) หรือ $1399 (ได้ขับ ซีรี่ย์ 4, 5 และ X5 รวมทั้ง M2) หรือ $2,699 (ได้ขับ M4,M5, M6, X5M, X6M) โดยสามารถที่จะเลือกรถที่จะขับได้ผ่านทางแอพของบริษัท และครอบคลุมทั้งประกันภัยและช่วยเหลือฉุกเฉิน

Benz เองก็ได้ออกโปรแกรมภายใต้ชื่อ Mercedes-Benz Collection ซึ่งก็จัดโปรแกรมคล้ายๆ กับค่า BMW เช่น ถ้าเสียเดือนละ $1,595 ก็จะสามารถขับรถอย่างเช่น C43 AMG E400 หรือ GLE350 SUV แต่ถ้ายอมเสียเพิ่มเป็น $2,995 ก็จะได้ขับ C63 S Sedan G550 SUV หรือ SL550 เป็นต้น

นอกจาก 2 เจ้าดังข้างต้นแล้ว ยังมีรถยนต์จากค่าย Volvo (Care by Volvo) Land Rover (Carpe by Jaguar Land Rover) Lexus (Lexus Complete Lease) Porsche (Porsche Passport) Audi (Audi Select) ที่ได้เข้าร่วมกระแส Subscription นี้

การนำระบบ Subscription มาใช้กับธุรกิจรถยนต์นี้ ยังถือว่าอยู่ในขั้นทดลอง ส่วนใหญ่แล้วจะยังอยู่ในขั้นการทดลองที่เมืองเพียงไม่กี่เมืองในสหรัฐหรืออังกฤษเท่านั้น ขณะเดียวกันรถยนต์บางยี่ห้อที่เคยเข้าร่วมวง Subscription อย่าง Cadillac ของค่าย GM ก็ได้หยุดพักโปรแกรมของตนเองไปชั่วคราวก่อน สาเหตุหลักๆ ก็คือเรื่องของต้นทุน

ถึงแม้ว่า Subscription model สำหรับธุรกิจรถยนต์จะยังไม่เจอรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดจนสามารถขยายไปในวงกว้างได้ แต่ก็คาดกันว่าในอนาคตจะมีการเติบโตอย่างมากมาย สาเหตุหลักๆ ก็คือผู้บริโภคมีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์น้อยลง มีการพยากรณ์ว่าภายในปี 2025 รถยนต์ที่ใช้ในระบบ Subscription จะคิดเป็น 10% ของยอดขายรถใหม่ทั้งหมด

ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงผู้ผลิตรถยนต์ที่จะได้รับผลกระทบจาก Subscription model นี้เท่านั้น ยังมีธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องที่จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ตั้งแต่บรรดาตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ต่างๆ ผู้ซื้อและขายรถยนต์เก่า ศูนย์ซ่อม ผู้ขายอุปกรณ์ดูแลรถยนต์ บริษัทประกัน สถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อรถยนต์ เป็นต้น ขณะเดียวกันสิ่งที่ผู้บริโภคจะได้รับ คือความยืดหยุ่นที่จะเลือกเปลี่ยนรุ่นรถยนต์ที่ตนเองขับ แต่ก็เสียประโยชน์ในการไม่มีความเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าว เช่น ไม่สามารถทิ้งร่มหรือแว่นตากันแดดไว้ในรถได้อีกต่อไป

ก็ต้องคอยดูต่อไปว่ารูปแบบของ Subscription model ที่จะใช้กับธุรกิจรถยนต์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าจะมาแน่ๆ