สังคมที่อับแสง .... หายนะ !!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. เห็นเหตุการณ์วุ่นวายในวงการเมืองของเด็กๆ รุ่นใหม่ที่ไฟธาตุกำลังแรง จึงให้ออกอาการเป็นห่วงในพฤติกรรมที่เดินสายไปทั่ว เพื่อการหวังผลบางประการที่ออกจะไม่ค่อยดีนัก เข้าทำนองสำนวน “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” ดังกรณี “ฮ่องกงโมเดล” ที่เด็กรุ่นใหม่ ผู้มีจิตใจเต็มไปด้วยไฟจินตนาการ ได้ก่อหวอดจนบ้านเมืองใกล้จะวอดวาย ดังปรากฏตามข่าวสาร ด้วยความปรารถนาม่านฟ้าอิสรเสรีจากลัทธิประชาธิปไตย ที่ดูสวยงามตามหลักการ แต่จะให้สมประโยชน์หรือไม่นั้น ก็คงต้องคำนึงถึงความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีของทุกคนในสังคม
เหตุการณ์ในฮ่องกง จึงเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญยิ่งต่อประเทศของเรา ซึ่งจะต้องถ่วงดุลกันให้ได้ระหว่างกลุ่มคนต่าง Generation โดยการจัดหามาตรการดุลยภาพ เพื่อความสมดุลในทุกมิติ ตั้งแต่ในสังคมครอบครัว จนถึง ชุมชน ประเทศชาติ
การอยู่ร่วมกันอย่างมีสิทธิและหน้าที่ในฐานะสมาชิกของสังคมเดียวกันนั้น จักต้องคำนึงถึงบทบาทและฐานะภาพในแต่ละบุคคล ที่ต้องมีความสัมพันธ์กันด้วยเป็นสำคัญ เพื่อนำไปสู่ความรัก เคารพ เกื้อกูลกัน มีน้ำจิตน้ำใจเป็นหนึ่งเดียวกัน
การทำงานทางสังคมการเมืองจึงต้องมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ความรักสามัคคี มีเมตตากรุณาต่อกัน ระหว่างสมาชิกในสังคมนั้นๆ ... และจักต้องไม่เป็นไปเพื่อการทำร้ายทำลายต่อกัน ..ไม่เป็นไปเพื่อแตกแยกในระหว่างหมู่ชน
บรรพบุรุษจึงสั่งสอนคนรุ่นหลังไว้ว่า “ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า” .. นั่นเป็นสุภาษิตของสังคมไทย ดังปรากฏในโลกนิติคำโคลงว่า...
อย่าชักน้ำน่านเข้าคลองคู
อย่าแนะศึกศัตรูสู่เหย้า
ไฟในอย่าเชิดชูนำออก
ไฟนอกอย่านำเข้าหม่นไหม้ มัวหมอง....
การอบรมสั่งสอนให้เด็กๆ เยาวชนของชาติรักบ้านเมือง ภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติพันธุ์ตนเอง นับเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ในยามที่มนุษยชาติเริ่มปรับเปลี่ยนพันธุกรรมไปตามความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี จนให้ค่าความหมายของชีวิตผิดแผกไปจากธรรมชาติ
การจัดการศึกษาในครอบครัว โดยมุ่งเน้นความเป็นศูนย์การศึกษาเพื่อการพัฒนาชีวิต จึงเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ ให้ความสนใจ เพื่อการสร้างจิตสำนึกให้มีคุณค่าสมกับเป็นสัตว์ประเสริฐที่ดื่มนมจากเต้าของมารดา
การจัดการศึกษาในสิ่งแวดล้อมที่อบอุ่นไปด้วยความรัก ความเมตตากรุณา จะช่วยถ่วงดุลความรู้สึกสำนึกของมนุษยชาติ เพื่อไม่ให้สุดโต่งไปในขั้ววัตถุนิยมยุคไอที จนสูญเสียคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ที่ควรดำรงชีวิตไปบนพื้นฐานของความรัก ความมีเมตตา ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ตลอดจนสังคมประเทศชาติ
การศึกษาในครอบครัวที่ล้มเหลว จึงเป็นเหตุให้สังคมขาดความรัก ไร้ความเมตตาต่อกัน เราจึงเห็นสังคมที่มากไปด้วยความพยาบาทเบียดเบียนเกิดขึ้นมาแทนสังคมอารยธรรมดั้งเดิม ที่เคยเต็มไปด้วยความมีเมตตากรุณาต่อกัน รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน
เมื่อคนในสังคมขาดความรักต่อกัน และหันกลับมาทำร้ายทำลายกัน สังคมจึงแตกร้าวและพร้อมแตกแยก การวัดกำลังกันว่า ใครมีพวกมากกว่ากัน ถือประโยชน์จากเสียงข้างมาก เพื่อหวังมีอำนาจในการปกครองสังคมจึงเกิดขึ้น บนกติกาของระบอบเสียงข้างมากเป็นใหญ่ (คณาธิปไตย) ที่เรียกให้สวยงามว่า ระบอบประชาธิปไตย
เค้าลางความหายนะของสังคมประเทศชาติจึงเกิดปรากฏ เมื่อคนในสังคมมีจิตสำนึกล้มเหลวในความรัก-สามัคคีที่มีต่อกันและกัน ปล่อยปละละเลยให้จิตใจตกอยู่ภายใต้ความโลภและความริษยา จนยากที่จะถอดถอน จึงไม่แปลกที่สภาพชีวิตในสังคมดังกล่าวจักวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า... ถ้าคนโลภกับคนริษยามาพบกัน สังคมจะวิบัติพลันทันใด.. เพราะคนโลภจะไม่รู้จักคำว่า “พอ” .. ส่วนคนริษยาจะไม่รู้จักคำว่า “ยินดี” สังคมที่ขาดความพอและไร้ความยินดีของคนในสังคมนั้น จึงนำไปสู่สังคมล่มสลายโดยพลันได้ในทุกเรื่อง..
เจริญพร