วันประวัติศาสตร์..ร่วมรับอุโบสถศีล ของชาวพุทธในอินเดีย!!

วันประวัติศาสตร์..ร่วมรับอุโบสถศีล ของชาวพุทธในอินเดีย!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในโลกแห่งความเป็นจริงของสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ เทวดา อสูร นาค คนธรรพ์ 

ย่อมปรารถนาความเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีศัตรู ไม่มีความพยาบาท ..แต่ด้วยความริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องผูกพันใจไว้ จึงไม่สามารถพ้นไปจากเวรภัย .. ความเป็นศัตรู ความพยาบาททั้งปวงได้ นี่เป็นสัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ !!

กลับมาดูเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปด้วยความสับสนของหมู่ชนบ้านเรา ก็กำลังเป็นไปเช่นนั้นจริงๆ... แม้ทุกคนจะกล่าวอ้างว่า รักสังคมประเทศชาติ แต่ด้วยความสำนึกระดับสัญชาตญาณของสัตว์ จิตใจจึงพ่ายแพ้ต่ออำนาจกิเลส หนีไม่พ้นอำนาจความริษยาและมัจฉริยะ ซึ่งมีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก เป็นสมุทัย เป็นกำเนิด เป็นแดนเกิด.. โดยมีฉันทะคือความพอเป็นเหตุ.. (เมื่อความพอใจมีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก ย่อมมี...)

ชีวิตของคนเรา ไหลไปตามสายธารกิเลส ที่ปรุงแต่งให้จิตใจมีความอยาก ความต้องการ ในอารมณ์ที่น่าใคร่ น่ายินดี จึงเข้าไปยึดถือ และพยายามกระทำเพื่อสนองตอบความต้องการ จนก่อเกิดสภาวะอันเป็นที่ตั้งแห่งความสุข-ความทุกข์ขึ้นในจิตใจของสัตว์ทั้งหลาย

ความสุข-ความทุกข์ นั้นเกิดขึ้นจากการกระทำความดี-ความชั่ว ที่ให้ผลในปัจจุบันนั้นๆ ที่แปรรูปมาจากความชอบใจ-ไม่ชอบใจ อันเกิดจากการแสวงหาที่สืบเนื่องมาจากตัณหา (กิเลส)

ความวุ่นวายในสังคมสัตว์โลก จึงไม่เคยจางคลายหมดสิ้น ตราบที่กิเลสยังมีอำนาจเหนือจิตใจของสัตว์ทั้งหลาย สัตว์โลกจึงไม่เคยมีความพอดี พอเหมาะ พอควร พอเพียง และไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนเองมี.. นี่เป็นสัจธรรม !

ยามใดสังคมมีศีลธรรมค้ำชู มีจริยธรรมนำทาง มีคุณธรรมเป็นจุดหมาย ยามนั้นเราจะเห็นสันติสุขเกิดขึ้นในหมู่สัตว์สังคมนั้นๆ ..แต่ยามใดที่ศีลธรรมบกพร่อง จริยธรรมไม่ปรากฏ จึงเป็นธรรมดาที่จะเห็นภาพความชุลมุนทางความคิดและการปฏิบัติของสัตว์ทั้งหลายแตกต่างกันไป จนก่อเกิดความขัดแย้ง ให้นำไปสู่การก่อเวร สร้างอาชญา พยาบาทเบียดเบียนต่อกันและกัน..

ในช่วงระหว่าง ๔-๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ อาตมารับนิมนต์ชาวพุทธอินเดีย ไปเป็นประธานอำนวยการจัดงานวันประวัติศาสตร์ในการรวมตัวกันของผู้มีศรัทธา เพื่อสมาทานอุโบสถศีลเป็นเวลา ๓ วัน ณ นครปูเน่ รัฐมหาราษฎร์ ที่คณะศรัทธาชาวอินเดียกำลังเร่งก่อสร้างวัดของพุทธศาสนาขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ อลังการ ในชื่อ Dhamma Vinaya Monastery of Pune

นับว่าน่าจะเป็นการสร้างวัดหรือมหาวิหารแห่งแรกของศรัทธาชาวพุทธอินเดีย ที่สมบูรณ์พร้อมในทุกด้าน โดยมีพระวิหารสามารถจุคนได้ถึง ๑,๐๐๐ คน ซึ่งมหาวิหารดังกล่าวตั้งอยู่บนเนินเขา อันเป็นที่ดินในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ของนักธุรกิจใหญ่ชาวฮินดูที่มีศรัทธาถวายที่ดินราคาแพงในย่านพัฒนาที่ดิน.. ทิวทัศน์จึงสวยงาม เหมาะควรแก่การเป็นสำนักปฏิบัติธรรมมาก

นอกจากการสร้างวัดหรือมหาวิหาร เพื่อพระสงฆ์สามารถอยู่จำพรรษาได้แล้ว ที่สำคัญยิ่ง ยังมีการสร้างหมู่บ้านชาวพุทธขึ้นโดยรอบ เพื่อการสนับสนุนกิจการทางศาสนาของวัดหรือมหาวิหารแห่งนั้น ด้วยนครปูเน่ มีประชากรชาวพุทธประมาณ ๓ แสนคน และหากกล่าวถึงยอดโดยรวมของชาวพุทธในรัฐมหาราษฎร์ คงมากกว่า ๗-๘ ล้านคน ที่จะหมุนเวียนเดินทางมาศึกษาปฏิบัติธรรมและถวายอุปัฏฐากพระสงฆ์ที่อยู่จำพรรษา คาดว่าจะสามารถอยู่จำพรรษาได้ในปี ๒๕๖๓

เรื่องดังกล่าวเคยกราบเรียนเจ้าประคุณสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิตรฯ ซึ่งปัจจุบันคือ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๒๐ ของคณะสงฆ์ไทย ว่า “ชาวอินเดียได้ถวายที่ดิน เพื่อจัดสร้างวัดหรือมหาวิหาร โดยใช้ปัจจัยของคณะศรัทธาชาวพุทธในอินเดีย ซึ่งกำลังดำเนินการ และหากเสร็จเรียบร้อย จะได้กราบเรียนเจ้าประคุณสมเด็จฯ เพื่อเมตตาอนุโมทนาสนับสนุน..” ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ (ในขณะนั้น) ได้กล่าวตอบรับด้วยความสนใจ โดยเฉพาะการสร้างด้วยเงินหรือปัจจัยของชาวอินเดียเอง ... ซึ่งบัดนี้ การสร้างวัดหรือมหาวิหารดังกล่าวกำลังดำเนินไปด้วยดี ตามขั้นตอน จึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อการไปเตรียมความพร้อมชาวพุทธในอินเดีย ให้ได้ศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง เฉกเช่นเดียวกับชาวพุทธทั่วโลก ซึ่งเป็นที่มาของวันประวัติศาสตร์ร่วมรับอุโบสถศีลของชาวพุทธในอินเดีย ครั้งที่ ๑ ณ นครปูเน่ฯ อันควรแก่การอนุโมทนา

 

เจริญพร

[email protected]