เมืองไทยไร้อนาคต?
เพื่อนผมไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ เพิ่งเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน ก็นัดพบปะพูดคุยกันตามประสา เพื่อนสอบถามเรื่องราวต่างๆ ในประเทศด้วยความห่วงใย
โดยเฉพาะสถานการณ์การเมือง เพราะรับรู้ข่าวสารส่วนใหญ่จากออนไลน์ โซเชียลมีเดีย กับข่าวลือปากต่อปาก ทำให้ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ
ความรู้สึกของเพื่อนผมก็คงเหมือนๆ กับคนไทยทั่วไปที่ไม่ได้เลือกข้าง หรืออาจจะเลือกข้างบ้างเพราะความกลัว แต่ไม่ได้เลือกแบบฮาร์ดคอร์ คนกลุ่มนี้มีเป้าหมายคือต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ เศรษฐกิจดี และสงบสุขพอสมควร
แต่เป้าหมายนั้นมันเหมือนเป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ เพราะเรื่องจริงมันตรงกันข้าม แถมยังน่าเบื่อหน่าย เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
จะเชียร์ลุงตู่ ก็คาใจกับนาฬิกาหรู 20 กว่าเรือนที่จัดการอะไรไม่ได้ แถมยังโอบอุ้มปกป้องกัน
จะตั้งความหวังกับรัฐบาลใหม่ ก็ดูน่าละเหี่ยใจ รุมทึ้งแย่งเก้าอี้กันจนนาทีสุดท้าย เสียงสนับสนุนก็อันตราย ไม่รู้จะอยู่ผ่านงบประมาณไหวหรือเปล่า
ไล่ดูหน้าตาว่าที่ รมต. ก็มีแต่พวกมีชนักติดหลัง ถูกกล่าวหาว่าทุจริต โกงรัฐ เจ้าพ่ออิทธิพลมาเฟีย หรือคนดีหน้าใหม่เพราะเพิ่งหักหลังขั้วอำนาจเก่าแล้วเปลี่ยนข้างมา
เหลียวไปดู ส.ว. แทนที่จะเป็น “วุฒิสภา” หรือสภาที่มีวุฒิภาวะสูงกว่า เพื่อช่วยโอบอุ้มประคองบ้านเมือง ก็กลับกลายเป็น ส.ว.เพื่อนพ้องน้องพี่ ข้าเสนอเอ็ง แล้วเอ็งก็เสนอข้า เลือกกันเองกลับไปกลับมา ไม่มีสภาพเป็นสภาของประชาชน
จะเชียร์เพื่อไทยก็ไม่รู้จะลักหลับออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ “คนแดนไกล”กลางดึกคืนไหน
จะเชียร์อนาคตใหม่ก็ไม่รู้จะเป็นการสนับสนุนให้ “ล้มระบบ-เปลี่ยนระบอบ” กันหรือเปล่า
จะตั้งความหวังกับธนาธร ก็ไม่รู้จะอยู่ในแวดวงการเมืองได้อีกกี่วันจากข้อกล่าวหานิติกรรมโอนหุ้นอำพราง
เปิดสภาทีก็ทะเลาะกัน ไม่มีใครยอมใคร กองเชียร์แต่ละขั้วแต่ละฝ่ายก็สุดโต่ง พร้อมใช้ทุกเรื่องมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมือง
ช่วงนี้คนไทยทั่วๆ ไปกลัวม็อบ กลัว 2 ขั้วเปิดศึกกันอีกรอบ พวกปั่นกระแสลุ้นให้ไทยเหมือนฮ่องกงก็ปลุกอารมณ์กันไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ได้รู้เลยว่าสถานการณ์อาจบานปลายเป็นรวันด้า
ที่น่าเศร้าก็คือ นักการเมืองที่เสนอตัวเป็น “ฝ่ายกลาง” ไม่ถูกปั่นไปกับกระแสแบ่งข้าง วันนี้กลับไม่มีแม้แต่ที่ยืนในสภา แล้วอะไรจะเป็นอนาคตของการเมืองไทย