เปิดประตูสู่การเปลี่ยนแปลง

เปิดประตูสู่การเปลี่ยนแปลง

ปัญหาสำคัญที่ทุกองค์กรต้องประสบก็คือคน

ถึงวันนี้แล้วคงไม่มีใครปฏิเสธการปรับตัวสู่โลกธรุกิจยุคใหม่ ที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ในทุกด้านอย่างถึงที่สุด เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีผลักดันให้ธุรกิจมาถึงยุคที่ตอบสนองผู้บริโภคได้ในทุกมิติ และทุกเวลา

เราจึงต้องใช้ทั้งบิ๊กดาต้า, ปัญญาประดิษฐ์(เอไอ), อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์(ไอโอที) และอื่นๆ อีกจำนวนมาก เพื่อทำการยกระดับองค์กรเข้าสู่ยุคดิจิทัล แต่ปัญหาสำคัญที่ทุกองค์กรต้องประสบก็คือ “คน” ที่มีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ 

ลำพังคนในองค์กรอาจมีไม่มากพอ การใช้คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีเหล่านี้จึงอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ปัญหาใหญ่ที่เจอก็คือเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้กลับไม่สนใจทำงานร่วมกับองค์กรธรุกิจเหมือนในอดีต

เนื่องจาก “อาชีพอิสระ” กลายเป็นทางเลือกของเด็กรุ่นใหม่ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ หรือขายของออนไลน์ เพราะทำรายได้เลี้ยงตัวเองได้ไม่แพ้งานประจำ เราจึงเห็นคอนเทนต์ใหม่ๆ ผ่านเพจต่างๆ คลิปสาระความรู้ รีวิวผลิตภัณฑ์ ฯลฯ​ หรือหากมีโอกาสไปที่ทำการไปรษณีย์ก็จะพบพ่อค้าแม่ขายออนไลน์นำสินค้าไปส่งกองใหญ่ๆ เป็นเรื่องปกติ

หากทำการสำรวจนิสิตนักศึกษาที่กำลังสำเร็จการศึกษา ก็จะพบสถานการณ์คล้ายๆ กันนั่นคือจะมีนักศึกษาราวๆ 1 ใน 3 ที่ไม่สนใจงานประจำแต่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจสตาร์ตอัพหรือเปิดกิจการอีคอมเมิร์ซของตัวเองทันทีหลังเรียนจบเพราะมีอิสระในการใช้ชีวิตมากกว่า

แน่นอนว่าก้าวแรกของบัณฑิตที่เดินในเส้นทางเหล่านี้ก็มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว แต่การโหมประชาสัมพันธ์ธุรกิจใหม่เหล่านี้ทำให้เกิดกระแสความตื่นตัวจนทำให้เด็กรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยมองข้ามต้นทุนแฝงที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ดูดีเกินจริงไปมาก

เพราะการขายของออนไลน์อยู่กับบ้านของตัวเองดูเหมือนจะอิสระสูงมาก วันไหนอยากไปเที่ยวก็เที่ยวได้ รายได้ต่อเดือนสัก 2 หมื่นบาทก็พอแล้ว เพราะใกล้เคียงกับเพื่อนที่ทำงานประจำ แต่ไม่ได้คิดว่าเราไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้านที่เราใช้ทำงาน ไม่ต้องเสียค่าน้ำค่าไฟเพราะพ่อแม่รับภาระให้แทน

กลายเป็นบทหนักของผู้บริหารองค์กรทุกวันนี้ เพราะลำพังพนักงานที่มีอยู่ก็อาจมีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลไม่มากพอที่จะแข่งขันในอุตสาหกรรมได้ จะอาศัยคนรุ่นใหม่ก็หายไปจากระบบงานจำนวนมาก ไม่นับปัญหาที่เกิดจากสถาบันการศึกษาเพราะนั่นเป็นผลพวงที่เกิดจากอดีตและใช้เวลานานมากกว่าจะทำได้สำเร็จ

ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการทุกวันนี้จึงต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หากรอคนรุ่นใหม่จะเข้ามาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ต้องอาศัยตัวเองโดยเปิดเรดาร์รับรู้การเปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอกด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุด

การทำงานในทุกวันนี้จึงจมอยู่กับงานประจำ หรือใช้เวลาไปกับการประชุมทั้งวันไม่ได้อีกแล้ว เพราะภายนอกมีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย การเปิดตัวเองสู่โลกภายนอกจึงเป็นการนำเอาสิ่งใหม่กลับเข้ามาสู่องค์กร ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาพูดคุย อบรมสัมมนา หรือเรียนหลักสูตรระยะสั้นต่าง ๆ ฯลฯ

เพราะรอบตัวเรานั้นมีแต่ไอเดียและจินตนาการที่น่าสนใจเต็มไปหมด และไอเดียเหล่านี้มักไม่มีคนนำไปทำจริง อาจเพราะไม่มีคนทำ ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ หรือไม่มีองค์ประกอบสมบูรณ์พอที่จะทำให้เป็นจริงได้ แต่เราอาจทำได้ไม่ว่าจะทำร่วมกับเขา หรือลงมือทำคนเดียวได้ก็ตาม

คนเป็นผู้นำต้องเปิดใจรับฟังความเห็นใหม่ๆ หรือเรื่องราวใหม่ๆ จากคนรอบข้างเสมอ เพราะนั่นจะเป็นหนทางที่ทำให้เราได้ความคิดเห็นแปลกๆ ใหม่ๆ ที่สามารถนำมาต่อยอดให้กับธุรกิจของตัวเองได้ .

การจมอยู่กับงานเดิมๆ ไม่อาจทำให้เราเห็นแนวทางแปลกๆ ใหม่ที่สร้างโอกาสในอนาคตได้เลย การใช้ตัวเราเองตักตวงมุมมองใหม่ๆ จากภายนอกองค์กรจึงอาจทำให้เรามองทะลุขีดจำกัดและปัญหาเดิมๆ ไปสู่แนวทางใหม่ และเปิดโอกาสให้เราได้ลงมือทำสิ่งใหม่ที่อาจกลายเป็นสินค้าและบริการใหม่ๆ ให้กับองค์กรได้ในอนาคต