ถ้าวันนี้ เป็นวันสุดท้าย

ถ้าวันนี้ เป็นวันสุดท้าย

ถ้าวันนี้ เป็นวันสุดท้าย

คุณขับรถไปส่งลูกคนโตที่โรงเรียน แวะส่งภรรยาที่ทำงาน ลูกเล็กสองคนรออยู่ที่บ้าน ระหว่างขับรถกลับบ้าน หน่วยราชการประกาศ ข่าวด่วนที่สุด ว่า “ขณะนี้ขีปนาวุธ ของศัตรู กำลังพุ่งตรงมาทำลายล้างที่นี่แล้ว ให้หาที่หลบภัยโดยด่วนและยังทิ้งท้ายด้วยว่านี่ไม่ใช่การทดสอบระบบ

ก็แปลว่ามันเป็นเรื่องจริง แล้วคุณจะตัดสินใจอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น เมื่อทุกชีวิตกำลังจะต้องจบลง ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ด้วยขีปนาวุธร้ายแรงของศัตรู

เรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม นี้เอง ที่ รัฐฮาวาย เกาะสวรรค์ของนักท่องเที่ยว ซึ่งมีประวัติศาสตร์มาก่อนว่า ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ฐานทัพเรืออเมริกันที่ฮาวาย ถูกกองทัพอากาศญี่ปุ่นบุกโจมตีทิ้งระเบิด โดยไม่รู้ตัว เมื่อเวลา 07.48 น. ของวันที่ 7 ธันวาคม 1941 เครื่องบินรบญี่ปุ่น 353 ลำ กระหน่ำระเบิดอย่างไม่ยั้ง

จมเรือรบอเมริกันไป 4 ลำ ที่เหลืออีก 4 ลำ เสียหายหนัก ทหารอเมริกันเสียชีวิตกว่า 2,400 คน บาดเจ็บกว่า 1,200 คน เป็นสาเหตุให้อเมริกา ต้องตัดสินใจร่วมสงครามโลกในวันรุ่งขึ้น และทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่ม ฮิโรชิม่า และ นางาซากิ เป็นจุล จนญี่ปุ่นต้องยอมแพ้สงครามในที่สุด

ใครที่ได้ชม ภาพยนตร์เรื่อง “Pearl Harbour” คงจำฉากการโจมตีของญี่ปุ่นได้ดี  ว่าการหนีตายและการยิงต่อสู้อย่างทุรักทุเรของทหารอเมริกัน ในสภาพที่ไม่พร้อมนั้น เป็นเช่นใด

ชาวฮาวาย ที่เกิดไม่ทันสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้เห็นภาพแบบนี้ผ่านภาพยนตร์สารคดีเก่าๆ เมื่อพวกเขาได้ยินประกาศฉุกเฉิน เช้าวันที่ 13 มกราคม 2561 คงเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย และคงอดนึกภาพเหตุการณ์ Pearl Harbor ไม่ได้ มันหมายถึงความตายที่กำลังจะมาถึงในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว

การปะทะวาจากันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนายทรัมพ์ และ นายคิม รวมทั้งการทดสอบขีปนาวุธบ่อยครั้งของเกาหลีเหนือ ทำให้คนทั้งโลกหวาดผวามาอย่างต่อเนื่อง และ เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ชาวญี่ปุ่น ก็ตื่นตระหนก เพราะเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธข้ามประเทศญี่ปุ่นไปเฉยๆ

หลังจากนั้นเกาหลีเหนือก็ประกาศข่มขู่ว่า เป้าหมายต่อไปคือจะยิงขีปนาวุธไปทำลายเกาะกวม ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพอเมริกัน ทำให้ผู้พักอาศัยบนเกาะกวม หมดความสงบสุขในทันที

ยังไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นที่กวม นายคิมก็ประกาศว่าอาวุธนิวเคลียร์ของเขา มีอานุภาพทำลายล้างได้ไกลถึง ทวีปอเมริกา ส่วนทรัมพ์ก็ประกาศว่า อย่าอาจหาญเป็นอันขาด เพราะเขาจะตอบโต้ด้วยการทำลายล้างเกาหลีเหนืออย่างเลวร้ายที่สุด ด้วยเปลวไฟและความเคียดแค้น (Fire and Fury)

ในบรรยากาศที่น่ากลัวเช่นนั้น อยู่ดีๆ หน่วยงานฉุกเฉินของรัฐฮาวาย ก็ประกาศฉุกเฉินเมื่อเช้าวันที่ 13 มกราคม เตือนชาวฮาวายทั้งเกาะ ว่าขณะนี้หัวจรวดขีปนาวุธ กำลังพุ่งตรงมาที่นี่แล้ว ให้ทุกคนหาที่หลบภัยโดยด่วน  

ทันทีที่ประกาศออกไป ความโกลาหลอลหม่านก็เกิดขึ้น ทุกชีวิตต้องตัดสินใจในเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ว่าจะใช้เวลาในวันสุดท้ายของชีวิต อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้....ทำอะไร

ผู้ชายชาวฮาวายที่ผมเล่าข้างต้น บอกว่าทันทีที่เขาได้รับข่าว เขาช้อค สมองมึนตึ้บ เขาต้องตัดสินใจว่า ลูกคนหนึ่งอยู่ที่โรงเรียน ภรรยาอยู่ที่ทำงาน ลูกอีกสองคนอยู่บ้าน ตัวเขาอยู่บนถนน แล้วเขาจะขับรถไปที่ไหนดี

ในนาทีวิกฤต เขาตัดสินใจขับรถกลับบ้าน ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ที่นั่นมีลูกอยู่ 2 คน ถือว่าเมื่อรวมกัน ก็ได้สมาชิกครอบครัวจำนวนมากที่สุดแล้ว จะได้อยู่ด้วยกันในนาทีสุดท้ายของชีวิต

แต่ 38 นาทีต่อมา ขณะที่เขาขับรถกลับบ้าน ข่าวของทางการกลับออกมาอีกระลอกหนึ่งว่า ที่ได้ประกาศไปครั้งแรกนั้น เป็นความผิดพลาด (False Alarm) ถึงตรงนี้ ความเครียดที่ถึงขีดสุดของเขา กับข่าวที่พลิกผัน ทำให้เขาหมดเรี่ยวหมดแรง เขาขับรถเข้าจอดริมถนนตั้งสติ วันนี้ไม่ใช่วันสุดท้ายของเขาแล้วสินะ

เก็บความเครียดไว้ไม่อยู่ เขา ร้องไห้โฮออกมาดังๆคนเดียว และระงับสติอีกพักใหญ่ ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขับรถกลับบ้านได้ ในขณะนั้น

นั่นคือความจริงของหนึ่งในหลายชีวิตบนเกาะฮาวาย ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ในวันที่รู้ว่าจะเป็น “วันสุดท้ายของชีวิต” และหลังจากเหตุการณ์กลับคืนปกติ ประชาชนจำนวนมากมาย ต่างออกมาตำหนิหน่วยฉุกเฉินของทางการอย่างรุนแรง หลายคนบอกว่าพวกเขาเกือบหัวใจวาย ทุกคนได้โทรศัพท์ ร้องไห้ ลาตาย ไปยังพ่อแม่ลูกกันหมดแล้ว พวกเขามีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลในเรื่องนี้ เพราะเป็นการทำร้ายจิตใจอย่างยิ่งยวด

ผู้ว่าราชการรัฐฮาวาย ออกมาประกาศว่า ความผิดพลาดครั้งนี้ จะต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะเป็นเรื่องที่รับไม่ได้จริงๆ และจะทำทุกวิถีทาง เพื่อมิให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก

อย่างไรก็ตาม การสอบสวนในภายหลังกลับพบว่า มันไม่ใช่การส่งข่าวที่ผิดพลาด แต่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ตั้งใจส่งข่าวนั้นออกมาจริงๆ เพราะเขาเชื่อจริงๆว่า ขีปนาวุธ กำลังพุ่งตรงมายังเกาะฮาวายแล้ว!

ขณะนี้ เจ้าหน้าที่คนนั้นได้ลาออกไปแล้ว เพราะถูกข่มขู่จะเอาชีวิต หัวหน้าอีก 2 คน ก็ลาออก การสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป ว่าเหตุใดจึงเข้าใจผิดได้ขนาดนั้น แต่ที่แน่ๆก็คือระบบข่าวสารเตือนภัยที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ถูกต้องและรวดเร็ว เป็นเรื่องสำคัญมาก และดุลพินิจและการตัดสินใจของคน ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 

เหตุการณ์ครั้งนี้ นอกจากทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทย จะต้องทบทวนระบบเตือนภัยกันอย่างเร่งรีบแล้ว อีกบทเรียนหนึ่งที่เราได้เห็นอย่างชัดเจนจากเหตุการณ์นี้ ก็คือ มนุษย์เรานั้น เมื่อรู้ตัวว่าเหลือเวลาสุดท้ายของชีวิตอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทุกคนต่างก็นึกถึง ครอบครัวกันทั้งนั้น...

ใน เดือนแห่งความรัก กุมภาพันธ์นี้ ผมเลยอยากจะบอกว่า ทุกคนควรมอบความรักให้คนในครอบครัวให้มากๆ และสม่ำเสมอ เพราะในที่สุดแล้ว เราก็ไม่มีใครหรอกครับ นอกจากคนในครอบครัว ที่จะรักและผูกพันกับเราอย่างที่สุด และอย่างแท้จริง...จนกระทั่ง ถึงวันนั้น