สัญญาณล้างบาง

สัญญาณล้างบาง

ปกรณ์ พึ่งเนตร

ภายในเดือน ส.ค.นี้ ทิศทางการเมืองไทยน่าจะเริ่ม “เห็นหน้าเห็นหลัง” เพราะศาลฎีกานักการเมืองจะมีคำพิพากษาคดีสำคัญถึง 3 คดี คือ

1.คดีสลายม็อบพันธมิตรฯ วันที่ 2 ส.ค. มีอดีตนายกฯอย่าง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นจำเลย แต่คดีนี้ไม่ค่อยน่าหวาดเสียวเท่าไร เพราะมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.น้องพี่เบิ้มใน คสช.ติดร่างแหอยู่ด้วย หลายคนน่าจะพอเดาผลออก เพราะแม้แต่ ป.ป.ช.ในฐานะผู้กล่าวหา ยังทำท่าจะถอนฟ้องระหว่างทางเสียด้วยซ้ำ

2.คดีทุจริตขายข้าวจีทูจี วันที่ 25 ส.ค. มีอดีต รมว.พาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และพวกเป็นจำเลย

3.คดีเพิกเฉยละเลยป้องกันการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว วันที่ 25 ส.ค. มีอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย

น่าสนใจตรงที่คดีทุจริตขายข้าวจีทูจี กับคดีของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ศาลนัดพิพากษาวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน

ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาวันเดียวกัน เพราะเนื้อหาของ 2 คดีนี้เชื่อมโยงกัน (แม้จะเป็นคนละสำนวน) และผลของคดีหนึ่งอาจทำให้คาดเดาผลของอีกคดีหนึ่งได้ สมมติว่าถ้าศาลชี้ว่าคดีขายข้าวจีทูจีมีการทุจริต ก็เท่ากับว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ปล่อยปละละเลยด้วย อย่างนี้เป็นต้น การนัดวันเดียวกันเพื่อป้องกันการเดาผลล่วงหน้าแล้วหลบหนี

แต่วิธีการป้องกันเช่นนี้ ยังไม่รับประกันว่าจะสำเร็จหรือไม่ เพราะในทางเทคนิคแล้วยังมีอีกหลายวิธีที่นักการเมืองเขาจะ “เพลย์เกม”

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้าอ่านใจ “มาสเตอร์มายด์” ที่กดปุ่มเรื่องนี้อยู่ ก็น่าเชื่อว่าถ้าผู้มีอำนาจในปัจจุบันต้องการ “สืบทอดอำนาจ” ให้สะดวกโยธิน ก็ต้องไม่ยอมให้ “บุคคลสัญลักษณ์” มีพื้นที่สร้างข่าวเป็น “หอกข้างแคร่” ได้อีกต่อไป ส่วนใครที่เคยมีบทบาทในทางเป็น “ปฏิปักษ์” ก็ต้องทยอยเข้าคุก

สอดรับกับการทยอยออกกฎหมายโดยไม่สนใจหลักนิติธรรมหรือหลักสากลใดๆ เปิดช่องพิจารณาคดีลับหลัง บังคับใช้ย้อนหลัง (ทั้งๆ ที่เป็นโทษ) หรือวางระบบการเลือกตั้งให้มันสับสนอลหม่านเข้าไว้ ปิดโอกาสพรรคการเมืองใหญ่รวมเสียงข้างมาก ฯลฯ

ทั้งหมดก็เพื่อส่งสัญญาณให้บรรดา “ขุนพล” ไปจนถึง “ลูกหาบ” ที่ยังเหลือในสมรภูมิว่า ถ้าต้องการมีส่วนร่วมในอำนาจ ก็ตัดสินใจเลือกข้างเสียให้ชัด ถ้าเลือกผิดก็มีแค่ 2 ทาง...คือฝ่ายค้าน กับคุก!