นายกฯคนนอก มาแรง..ตามนัด

นายกฯคนนอก มาแรง..ตามนัด

ต้องยอมรับว่า การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ

 เพื่อบรรจุสาระประเด็น “คำถามพ่วง” ที่ผ่านความเห็นชอบของประชาชนในการลงประชามติ เมื่อวันที่7สิงหาคมที่ผ่านมา ไม่ง่ายอย่างที่คิด

คำถามพ่วงระบุว่า "ในระยะ 5 ปีนับแต่มีรัฐสภา ให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภา คือ ส.ส.และ ส.ว. ร่วมพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะเข้ารับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ"

ขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญบทถาวรกำหนดให้เลือก นายกรัฐมนตรี” จากรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอไว้ก่อนเลือกตั้ง พรรคละไม่เกินสามรายชื่อ

และมีมาตรา 272 ในหมวดบทเฉพาะกาล ที่กำหนดว่าในวาระเริ่มแรก หากไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่อได้ ไม่ว่าด้วยเหตุใด ส.ส.จํานวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา ขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อได้

แล้วถ้ารัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ให้ยกเว้นได้ ก็ให้สภาผู้แทนราษฎรเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อหรือไม่ก็ได้

นี่คือ มาตราที่เปิดช่องให้มี นายกฯคนนอก” เพื่อผ่าทางตันกรณีตกลงกันไม่ได้เอาไว้

ส่วนคำถามพ่วง ถ้าฟังจาก “สนช.”(สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) เจ้าของเรื่อง เห็นว่าตามเจตนารมณ์ คือการให้ ส.ว.ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้จากบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองได้ตั้งแต่แรก แต่หากมีปัญหาติดขัด ไม่สามารถเลือกตัวนายกรัฐมนตรีจากบัญชีพรรคการเมืองได้ จึงเข้าสู่ขั้นตอนการให้ ส.ส.และ ส.ว.สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีนอกเหนือจากบัญชีของพรรคการเมืองได้

นอกจากนี้บางกระแส ยังเห็นว่า ให้ ส.ว.เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี นอกบัญชีพรรคการเมืองได้ หาก ส.ส.ไม่สามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เพราะคำถามพ่วงระบุชัดเจนว่าให้รัฐสภาซึ่งหมายถึง ส.ส.และ ส.ว.พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

กลายเป็นว่า “นายกฯคนนอก” เปิดกว้าง จนทำให้หลายคนเริ่มออกมาเบรกว่าจะไม่งาม และอาจทำให้เหตุการณ์อย่างพฤษภาทมิฬ หวนกลับมาอีก

เหนืออื่นใด หลังส.ว.มีสิทธิเลือกนายกฯได้ หลายคนมองข้ามช็อตไปที่ “นายกฯคนนอก” ทันที เพราะไม่เชื่อว่าส.ส.จะมี “เอกภาพ” พอเอาชนะส.ว.ลากตั้งได้เพราะต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง(375ขึ้นไป) ของสมาชิกรัฐสภา คือ 750 คนในการเลือกนายกฯ

จนทำให้เห็นเกมแห่งอำนาจ ที่พยายามผลักดันใครบางคนเป็น “นายกรัฐมนตรี” มีกระแสแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และน่าจะแรงไปจนถึงเลือกตั้งเลยทีเดียว