'มติ'ประชา โอกาสทอง1ปีรัฐบาล
ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับการลงประชามติ “รับ”
หรือ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ และคำถามพ่วง โดย “เสียงส่วนใหญ่” 15.5 ล้านเสียง รับร่างรัฐธรรมนูญ ไม่เห็นชอบ 9.7 ล้านเสียง เห็นชอบคำถามพ่วง 13.9 ล้านเสียง ไม่เห็นชอบ 10 ล้านเสียง จากจำนวนผู้ออกเสียงกว่า 27 ล้านคน แม้จะคิดเป็นสัดส่วนไม่มาก ราว 58 % ของผู้มีสิทธิออกเสียง แต่ก็ถือเป็นเสียงของคนทั้งประเทศ สะท้อนความคิดเห็นที่ว่า พวกเขาต้องการให้ประเทศชาติ เร่งเดินหน้าสู่การ “เลือกตั้ง” ในปลายปี 2560 แบบไม่สะดุด
สอดคล้องกับความเห็นบรรดา “นักธุรกิจน้อยใหญ่” ที่ออกมาให้มุมมองกว้างขวางหลังประชามติถึง “ผลบวก” ที่จะเกิดขึ้น!
โดยต่างเห็นว่า หลังจากการลงประชามติ จะทำให้ “บรรยากาศ”การลงทุน ทั้งจากนักธุรกิจไทยและต่างชาติ รวมถึง “ความเชื่อมั่นผู้บริโภค”โดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วง “5 เดือนสุดท้าย”ของปีนี้ จากทิศทางการเมืองที่มองเห็นภาพ“ชัดเจน”ขึ้นเรื่อยๆ
อาทิ “สมชาย พรรัตนเจริญ” นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย ที่ออกมาระบุว่า จะส่งผลให้รัฐบาลมีความมั่นใจในการบริหารประเทศยิ่งขึ้น และเอื้อต่อภาพรวมเศรษฐกิจให้ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย แต่ที่ต้องจับตาดูจากนี้ เป็นเรื่องของการลงทุนจากต่างประเทศว่า นักลงทุนต่างชาติจะเชื่อมั่นต่อแนวทางการการสร้างความสงบสุขของไทย มากน้อยเพียงใด
ขณะที่ “นพพร เทพสิทธา” ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สภาผู้ส่งออก ให้ความเห็นว่า ผลประชามติบ่งชี้ว่า ประชาชนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงตามหลักการประชาธิปไตย และน่าจะทำให้ทิศทางเศรษฐกิจจากนี้ดีขึ้นเช่นกัน
นี่เป็นความหวังของนักธุรกิจบางส่วน ต่อทิศทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเมืองไทย
เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างดูจะเป็นใจ ทำให้ช่วงเวลาของรัฐบาลชุดนี้ที่เหลือในการบริหารประเทศอีก 1 ปีจากนี้(ก่อนการเลือกตั้ง) น่าจะเป็นช่วงเวลา “แห่งคุณภาพ”
โดยเฉพาะการเร่งเดินหน้า “ปฏิรูป” ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่หมักหมมประเทศมานาน ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
แม้จะต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาระยะยาว แต่จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง
หากการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริง มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ ก็ต้องเดินหน้าปฏิรูปปัญหาเชิงโครงสร้างต่อ แบบไม่นับหนึ่งใหม่
นั่นเพราะ ประเทศเดินช้ามามากแล้ว ต้องวิ่งให้ทันคู่แข่ง
แค่หยุดก้าว เท่ากับ “นับถอยหลัง”