Digital Thailand...งานนี้ช้าไม่ได้

Digital Thailand...งานนี้ช้าไม่ได้

การที่ภาครัฐ เอกชน คนรุ่นใหม่ กำลังตื่นตัวกับ Startup กับ Digital Thailand กันมากขึ้น เห็นเป็นนิมิตหมายอันดี

ทุกท่านคงรู้สึกไม่น้อย ว่าสังคมไทยในเมืองกำลังอยู่ในภาวะ 'สังคมก้มหน้า' เพราะเราใช้มือถือกันตลอดเวลา และไม่ได้ใช้แค่การเสพข้อมูล ข่าวสาร หรือเสพดราม่าประจำวันเท่านั้น

ผู้คนจำนวนมาก กำลังใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ ในการทำอะไรที่มากกว่านั้น

• บางคนใช้ทำธุรกิจ... โดยการค้าขายบนอินเทอร์เนต เป็นพ่อค้าแม่ค้าไอจี (Instagram)ขายของบน Amazon(อมาซอน)หรือ Alibaba(อาลีบาบา)เปิดแฟนเพจFacebookเปิด LINE official account

• บางคนใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน และหุ้น… โดยการโอนเงิน ชำระเงิน สั่งซื้อ สั่งขาย สั่งออมหุ้น เพื่อความมั่งคั่งระยะยาว ด้วยปลายนิ้ว

• บางคนใช้ในการสื่อสารต้นทุนประหยัด ... ผู้คนจำนวนมากแทบจะเลิกส่ง SMS(ข้อความอักษร), MMS(ข้อความภาพ)หรือ โทรทางไกลข้ามประเทศ ... โดยหันมาใช้ฟรี Voice Call หรือ VDO Call บน LINE หรือ WhatsApp แทน

สิ่งเหล่านี้ กำลังเกิดขึ้นทุกวัน เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน และเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้นทุกวัน และเมื่อช่องทางออนไลน์มีอิทธิพลสูงมากขึ้น มีผู้ใช้เพิ่มจำนวนมากขึ้น จะเป็นการคุกคามระบบการค้าขายดั้งเดิม หรือที่ภาษา Startup เรียกว่า 'Disruptive'

ความหมายคือ การเปลี่ยนแปลงตลาดเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยการนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ใช้งานง่ายกว่า ถูกกว่าสะดวกสบายกว่า จนกระทั่งส่วนแบ่งการตลาดเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ลองนึกถึง LINE ที่เกิดมาทำให้การส่งข้อความ ส่งรูปภาพ และโทรทางไกล ง่าย สะดวก ฟรี (เสียเงินเฉพาะค่าเน็ต) จนกระทั่งเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสารของผู้คนดูซิครับ

ในที่สุดแล้ว บริษัทที่ใช้ Disruptive Innovationหรือนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงโลกก็จะพัฒนาสินค้าให้เข้ากับความต้องการของลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ แย่งเอาส่วนแบ่งการตลาดจากยักษ์ใหญ่ในโลกเดิม จนกระทั่งเอาชนะได้

สิ่งเหล่านี้ ประเทศไทยเราหยุดการพัฒนาของโลกไม่ได้ สิ่งที่เราต้องทำคือ เกาะขบวนรถด่วน Digital Economy ให้เร็ว และปรับตัวไปสู่ประเทศผู้พัฒนานวัตกรรมให้ได้ งานนี้ช้าไม่ได้ ผมขอยกตัวอย่างที่น่าตกใจเรื่อง 'เม็ดเงินโฆษณา' ที่เทคโนโลยีออนไลน์กำลังเข้ามา disruptive

ท่านทราบหรือไม่ว่า... งบโฆษณาผ่านสื่อไตรมาสแรกปีนี้กำลังย้ำเทรนด์ปีที่แล้ว ว่าสื่อขาลงยังคงเป็นขาลง และสื่อขาขึ้น ยังคงเป็นขาขึ้น
โดยสื่อ3 อันดับ ที่มีเม็ดเงินขาลง คือ
อันดับ 1 อินสโตร์ (ป้ายในห้างดิสเคาทน์สโตร์)-71.51%...อันดับ 2 นิตยสาร-25.97% !!! (มิน่าที่ผ่านมา ได้ยินข่าวนิตยสารทยอยปิดตัวหลายฉบับเหลือเกิน)...และ อันดับ 3 หนังสือพิมพ์-13.78%
ส่วนสื่อ3 อันดับ ที่มีเม็ดเงินขาขึ้น คือ อันดับ 1 สื่อออนไลน์ +78.45%...อันดับ 2 โรงหนัง +19.66% และ อันดับ 3 ป้ายโฆษณากลางแจ้ง +19.16% และสื่อเคลื่อนที่ +19.58%

เทรนด์ที่ชัดเจนคือสื่อออนไลน์โตมากมายมหาศาล แม้มันจะมาจากฐานตัวเลขที่ต่ำแต่โตมากมายจริงๆ

ความน่าตกใจไม่ได้มีแค่นั้น… เพราะการสำรวจ นับเม็ดเงินสื่อออนไลน์มาจากเฉพาะเว็บไซท์หลักที่นับเม็ดเงินโฆษณาได้ เช่น จากแบนเนอร์(banner ads)เท่านั้นเช่น เว๊บไซท์หนังสือพิมพ์ หรือ เว๊บไทยชื่อดังอย่าง SanookKapookหรือPantipแต่ยังไม่ได้นับรวมเม็ดเงินโฆษณาบริการค้นข้อมูล(search engine), วีดีโอ(video)หรือ โซเชียลมีเดีย(social media)ที่จ่ายตรงสู่ผู้ให้บริการข้ามชาติ เช่น กูเกิล(google),ยูทูป(youtube) , ไลน์(LINE), หรือ เฟซบุ๊ค(Facebook)

และไม่ใช่แค่แบรนด์จากบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ลงโฆษณาในออนไลน์มากขึ้น... ยังรวมถึงกลุ่ม SMEหรือธุรกิจขนาดกลางและเล็กด้วย ที่โฆษณาออนไลน์แบบจัดเต็มเพราะตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากกว่า แต่อนิจจา...เม็ดเงินเหล่านี้ กำลังออกนอกประเทศหมด
นี่คือDisruptive Economy ของไทยเราด้วย

ดังนั้น การที่ภาครัฐ ภาคเอกชน คนรุ่นใหม่ กำลังตื่นตัวกับ Startup กับ Digital Thailand กันมากขึ้น ผมเห็นเป็นนิมิตหมายอันดี งานนี้เราช้า ก็โดนนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงโลกมาดึงเงินออกไป ประเทศไทยเราต้องตื่นตัวและสร้างนวัตกรรมให้ได้ รถไฟขบวนนี้ พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ