รัฐส่งช้อปช่วยชาติ 'ล็อต2' แก้วิกฤติกำลังซื้อ
หนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เห็นผลเป็น “รูปธรรม”
ผู้คนกล่าวขวัญถึงในแง่กระตุ้นบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงที่ผ่านมา
ต้องยกให้โครงการ “ช้อปช่วยชาติ” ที่รัฐกำหนดให้นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการ ระหว่างวันที่ 25 -31 ธ.ค.2558 วงเงินไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หลังสิ้นสุดมาตรการ “สมาคมผู้ค้าปลีกไทย” ออกมาประเมินผลลัพธ์ว่า สามารถกระตุ้นการจับจ่าย ทำให้เม็ดเงินสะพัด 1.25 แสนล้านบาท จากการจับจ่ายที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20% หรือประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท
ขณะที่กระทรวงการคลัง ระบุว่า แม้จะทำให้รัฐเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 4,000 ล้านบาท เพราะสิ่งที่ได้กลับมาคือ การกระตุ้นการใช้จ่าย ทำให้กรมสรรพากร มีรายได้จากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม “เพิ่มขึ้นเท่าตัว”
จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการออกมา “ยาหอม” ให้รัฐออกมาตรการช้อปช่วยชาติ ล็อต 2 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่จะถึงนี้
ฝันเป็นจริง..!!
เมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง ออกมารับลูกเรื่องนี้ โดยยอมรับว่า กระทรวงการคลัง กำลังเสนอโครงการ “ช้อปช่วยชาติ” ล็อต 2 ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ไฟเขียวในเร็ววันนี้ ขณะที่ระยะเวลาในการใช้มาตรการ จะอยู่ในช่วง 2 สัปดาห์ของเทศกาลสงกรานต์
เดาได้เลยว่า มาตรการช้อปช่วยชาติ ล็อต 2 ที่กำลังจะเข็นออกมานี้ จะทำให้บรรยากาศการจับจ่ายคึกคักขึ้น เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ ถือเป็น “ปีใหม่ไทย” ที่ประชาชนจำนวนมากจะเดินทางกลับถิ่นฐาน ไปเยี่ยมญาติ พี่น้อง ทำให้เกิดการบริโภคสินค้าและบริการ ตามมาไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่งมาตรการนี้ สะท้อนว่า..จนถึงขณะนี้ เศรษฐกิจไทย ยังคงอยู่ในอาการซึมเซา “กำลังซื้อ” ในการโภคสินค้าและบริการ โดยเฉพาะกำลังซื้อฐานราก ยังไม่กลับมา
จนต้องตอกย้ำมาตรการกระตุ้นการจับจ่าย กันอีกรอบ
แม้ว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลจะพยายามเข็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) หลายต่อหลายมาตรการ ทั้งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟท์โลน มาตรการกองทุนร่วมลงทุน การค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี,โครงการสินเชื่อ 1 ตำบล 1 เอสเอ็มอีเกษตร ซึ่งเมื่อรวมทุกมาตรการแล้ว เป็นวงเงินรวม 3.28 แสนล้านบาท ก็ตาม
ทว่า..ผลลัพธ์ของมาตรการ กลับไม่พบการฟื้นตัวของ ยอดขายและบริการ มากนัก
อาทิ ยอดขายรถยนต์ ในช่วง 2 เดือน (ม.ค.-ก.พ.) ที่ผ่านมา ยังคงติดลบต่อเนื่อง เดือนม.ค.ติดลบ 13% เดือนก.พ. ติดลบ 10.7% รวม 2 เดือนติดลบ 11.9%
ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถูกกดดันหนัก จากภาวะหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยระดับราคา 3-5 ล้านบาท จนผู้ประกอบการต้องหันมาจับตลาดที่อยู่อาศัยระดับหรู โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมหรู ที่มองว่าคนกลุ่มนี้ยังเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อทดแทน
ไม่นับรวมยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ผู้ประกอบการบ่นอุบว่ายังไม่ดีขึ้น
นี่คือ..สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่กับเศรษฐกิจไทย เวลานี้
แม้ว่าจะกระตุ้นบรรยากาศ การจับจ่าย ได้เป็นบาง “ห้วงเวลา” ของมาตรการ ทว่าไม่อาจ “ยืนยาว"
ตราบที่ปัญหาใหญ่ๆของบ้านเมือง ยังไม่ทุเลา
วิกฤติภัยแล้ง การส่งออกชะลอตัว การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ไม่เกิดสักที..!