ฤา “จีน” จะเป็นต้นเหตุวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่

ฤา “จีน” จะเป็นต้นเหตุวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่

วินาทีนี้....ดูเหมือนว่า รัฐบาลที่กลุ้มใจมากที่สุดในโลกน่าจะเป็น...รัฐบาลจีน ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจจำนวนมากมาย

และที่สำคัญอย่างยิ่งหากจีนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นมา ประเทศไทย...งานนี้โดนหางเลขแน่ วันนี้ผมจึงขอคุยให้ฟังเกี่ยวกับปัญหาของจีนที่อาจจะปะทุรุนแรงได้ทุกเมื่อ...

หนึ่ง ภาคเอกชนของจีนก่อหนี้ก้อนมหึมา

สำนักวิจัย McKinsey Global Institute พบว่า ตั้งแต่หลังปี 2551 เป็นต้นมา หนี้สินของจีนได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วคิดเป็น 282% ของขนาดเศรษฐกิจหรือ GDP ของจีนเลยทีเดียว ทุกวันนี้จีนได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลกไปแล้ว

หากดูจากกราฟด้านบนจะเห็นได้ว่า นอกจากจีนที่มีหนี้สูงมากแล้ว ก็ยังมีประเทศระดับหัวแถวของโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา เยอรมนี เกาหลีใต้ ก็ล้วนแล้วแต่มีหนี้ภาคเอกชนอยู่ในระดับที่สูงด้วยกันทั้งสิ้น แต่สิ่งที่น่ากังวลใจก็คือ จีนมีความโปร่งใสในการเปิดเผยตัวเลขอยู่ในระดับที่ต่ำมาก นอกจากนั้นจีนยังมีปัญหาเรื่องการทำ Shadow Banking หรือการที่สถาบันการเงินปล่อยกู้ผ่านบริษัทในเครือเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอย่างเข้มงวดของธนาคารกลางจีน สิ่งเหล่านี้จึงทำให้มีเหตุผลเชื่อว่า ในเวลานี้...จีนจึงน่าจะเป็นประเทศที่มีหนี้สินภาคเอกชนสูงที่สุดในโลก

สอง เงินสำรองระหว่างประเทศก้อนใหญ่ร่อยหลอลงทุกวัน

จีนเป็นประเทศที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงที่สุดในโลก จีนเคยมีเงินสำรองฯต่ำที่สุดเพียง 2.262 พันล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม 2523 จากนั้นก็ไปไต่ระดับจนสูงที่สุดที่ 3,993 พันล้านดอลลาร์เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 พอมาถึงต้นปี 2559 เงินจำนวนดังกว่าก็ลดลงเหลือเพียง 3,400 พันล้านดอลลาร์ โดยในปีที่ผ่านมาหายไปประมาณ 600 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากการไหลออกครั้งใหญ่ของเงินทุนจากต่างประเทศ (Capital Flight) พร้อมกับการเริ่มเก็งกำไรว่า ค่าเงินหยวนจะอ่อนตัว

ในเดือนธันวาคม 2558 จีนมีเงินสำรองฯลดลงสูงที่สุดในเดือนเดียวถึง 107.9 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เงินสำรองฯยังคงลดลงอีกคือ 99.5 และ 28.6 พันล้านดอลลาร์ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ถ้าเงินสำรองฯยังไม่หยุดไหลออกจากประเทศจีน ในมาช้า...ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจจีนจะลดลงไปเรื่อยๆ และอาจจะถึงระดับที่มีการถอนยวงการลงทุนในจีนออกไปครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง และเมื่อถึงเวลานั้น...เศรษฐกิจไทยก็ไม่รู้จะต้องโดนกับอะไรบ้าง?

สาม จีนไม่ได้เป็นประเทศที่ร่ำรวย

ในประเทศในเอเชียเหนือที่มีเศรษฐกิจอยู่ในระดับที่ดี เราจะพบว่ามีอยู่ด้วยกัน 4 ประเทศคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และจีน แต่หากศึกษาลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่า ทั้งญี่ป่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ต่างมีขนาดเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัวที่อยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับประเทศทางฝั่งตะวันตกที่เจริญแล้ว แต่สำหรับจีนแล้ว...ไม่ใช่เลย จีนยังคงมีรายได้ต่อหัวเพียง 8,280 ดอลลาร์เท่านั้น หรือคิดเป็นหนึ่งในสามของรายได้ต่อหัวของเกาหลีใต้ และเป็นหนึ่งในสี่ของญี่ปุ่น นั่นแสดงว่า จีน...ยังจนอยู่ และหากมีปัญหาทางเศรษฐกิจขึ้นมาแล้ว ขนาดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นก็ต้องหนักกว่าอีกสามประเทศเป็นอย่างมาก

นอกจากนั้น ทั้งสี่ประเทศที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่ประสบปัญหาเรื่องอัตราการเกิดที่ลดลงมาก และประเทศก็กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ดังนั้น ระเบิดอีกลูกหนึ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามาไม่ใช่เรื่องประชากรล้น แต่เป็นเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุต่างหาก

สี่ ความรุนแรง...หากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในจีนขึ้นมา

Goldman Sachs วาณิชธนกิจระดับโลก ได้ทำการประเมินผลกระทบในกรณีถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในจีนขึ้นมาโดยพบว่าถ้าเศรษฐกิจของจีนหดตัวลงไปทุก 1% จะทำให้ขนาดเศรษฐกิจของอเมริกาลดลงไปเพียง 0.1% เท่านั้น แต่หากวิกฤติในจีนก่อให้เกิดโรคระบาดทางการเงิน (Financial Contagion) ขยายตัวไปทั่ว ซึ่งนั่นอาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาหดตัวลงได้ถึง 0.47%

ไอเอ็มเอฟก็ได้ทำการประเมินผลกระทบดังกล่าวเช่นกันโดยพบว่า หากเกิดวิกฤติในจีนจริง การหดตัวของเศรษฐกิจจีนทุก 1% จะทำให้เศรษฐกิจโลกลดลงเพียง 0.05% ขณะที่หากเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาหดตัวลงทุก 1% จะทำให้เศรษฐกิจโลกหดตัวลงถึง 0.3% จึงพอสรุปได้ว่า หากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในจีนจริง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นคงไม่หนักหนาเท่ากับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์

ดังนั้น จึงได้แต่ภาวนาว่า...อย่าได้เกิดความรุนแรงทางเศรษฐกิจอะไรขึ้นกับจีน

เพราะหาไม่แล้ว...เศรษฐกิจไทยก็อาจจะต้องประสบเคราะห์กรรมที่อาจไม่แตกต่างกัน