ความเปลี่ยนแปลง “ชนบท” ในสังคมไทย : บนความเคลื่อนไหวสู่ประชาธิปไตย (จบ)

ความเปลี่ยนแปลง “ชนบท” ในสังคมไทย : บนความเคลื่อนไหวสู่ประชาธิปไตย (จบ)

ความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ชนบทมีอย่างกว้างขวาง จนไม่สามารถจะตอบได้ด้วยชุดความรู้มาตรฐานหรือด้วยมโนทัศน์ (concept) ต่างๆ ที่มีมาแต่เดิมอีกต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นมโนทัศน์ “สังคมชาวนา” มโนทัศน์ “สังคมชนบท” หรือมโนทัศน์ “วัฒนธรรมชุมชน” จำเป็นจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลใหม่เพื่อวิเคราะห์สังคมชนบทจากการพิจารณาบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดอ่อน แล้วเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความเปลี่ยนแปลงของบริบทดังกล่าวนี้กับความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้าน ที่ทำให้ชาวบ้านออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในหลายลักษณะเพื่อเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ได้แก่ การเมืองท้องถิ่น การเมืองวัฒนธรรม การเมืองภาคประชาชน ตลอดจนการแสดงออกในเวทีการเมืองระดับชาติ ซึ่งทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองในระดับชาติขยายตัวมากขึ้น

การศึกษาเพื่อเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของ “ชนบท” ในมิติต่างๆ โดยจะมุ่งเน้นให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของปฏิสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ที่เคยถูกเรียกว่าเป็น “ชนบท” กับพื้นที่ที่ถูกเคยถูกเรียกว่า “เมือง” เพื่อที่จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในส่วนที่ทับซ้อน/เชื่อมต่อกัน โดยเน้นให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลายมิติหลายระดับที่เกิดขึ้นในพื้นที่ “ชนบท” ทั้งเจ็ดพื้นที่ท่ามกลางปฏิสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับชนบทที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา

การศึกษาปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวอย่างเป็นประวัติศาสตร์จะทำให้เห็นความคลี่คลายและเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีการต่อสู้ต่อรองอย่างซับซ้อนมากขึ้นของคนแต่ละกลุ่มที่เติบโตและเสื่อมสลายลงภายใต้เงื่อนไขทางสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรม และทำให้เห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนแต่ละกลุ่มนั้นได้ส่งเสริมหรือขัดขวางการสร้างพื้นที่การต่อรองทางการเมืองของคนส่วนใหญ่หรือไม่ อย่างไร โดยที่ควรจะศึกษาอย่างน้องใน 4 มิติด้วยกัน

มิติแรก ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมของคนกลุ่มต่างๆ ในชนบทอย่างเป็นประวัติศาสตร์ตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการขยายตัวของรัฐและการขยายตัวของการผลิตเชิงพาณิชย์เข้าครอบคลุมพื้นที่ชนบทมากขึ้น อันเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งในพื้นที่ “ชนบท” ที่ทำให้ชนบทแตกต่างจากอดีตอย่างมาก และความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในชนบทที่เริ่มขึ้นในทศวรรษ 2520 นี้ยังคงดำเนินสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

การศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมของคนในชนบทจะเน้นที่การทำให้ “เวลา” หรือ “ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย” เป็นการคิดและเห็นพ้องต้องกันของคนในพื้นที่เอง เพื่อที่จะทำให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชนบทอย่างมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่เป็นจริงของผู้คน และเป็นการมองจากสายตาของคนในชนบทเอง ซึ่งนอกจากจะทำให้ความรู้ที่นักวิชาการสร้างขึ้นอิงฐานความเข้าใจตนเองของคนชนบทแล้วยังทำให้คนนอก เช่น ชนชั้นกลางในเมือง เข้าใจมุมมองของคนในชนบทเพิ่มขึ้นด้วย

มิติที่สอง ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงในการ “จัดตั้ง” ทางสังคม ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมของคนในชนบทในแต่ละช่วงเวลา ย่อมนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในการ “จัดตั้ง” ทางสังคมเพื่อให้สอดคล้องไปกับวิถีชีวิตและปัญหาที่กลุ่มคนต่างๆ เผชิญภายใต้การเปลี่ยนแปลงสถานะและบทบาทของตนเองในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งการศึกษาในเรื่องนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นย่อย คือ การเมืองเชิงสถาบัน และ การเมืองนอกสถาบัน

ประเด็นการเมืองเชิงสถาบัน จะศึกษาโดยมองผ่านความเปลี่ยนแปลงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเปลี่ยนแปลงในองค์การบริหารส่วนตำบล ทั้งในแง่ของตัวบุคคลที่เข้ามาสู่ตำแหน่งต่างๆ ในองค์การบริหารส่วนตำบล และบทบาทในการกำหนด นโยบายและโครงการต่างๆ ขององค์การบริหารส่วนตำบล

การศึกษาการเมืองเชิงสถาบันนี้จะศึกษาความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างอำนาจในท้องถิ่นโดยพิจารณาให้เห็นถึงความสัมพันธ์ลักษณะใหม่ที่ก่อกำเนิดขึ้นมาหลายมิติ โดยมุ่งทำความเข้าใจว่า ในเงื่อนไขที่เกิดสถาบันทางการเมืองแบบใหม่ในชนบทที่มีลักษณะเฉพาะอันเป็นผลมาจากโครงสร้างการเมืองระดับชาติ ประชาชนในท้องถิ่นเลือกที่จะสร้างสัมพันธ์กับนักการเมือง อบต.ในรูปแบบใด และประชาชนกับนักการเมืองท้องถิ่นสานสัมพันธ์กับนักการเมืองท้องถิ่นระดับชาติอย่างไร

ประเด็นการเมืองนอกสถาบัน จะศึกษาการรวมกลุ่มของชาวบ้านที่มีบทบาทในการแบ่งสรรและการจัดการทรัพยากรในรูปแบบต่างๆ เช่น กลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์ กลุ่มแม่บ้าน หรือ กลุ่มเครือข่ายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ฯลฯ โดยเน้นบทบาทของชาวบ้านในการจัดตั้งองค์กรและการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ก็จะคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านกับคนภายนอก เช่น นักพัฒนาเอกชน นักวิชาการ สื่อมวลชน ฯลฯ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านกับการเมืองเชิงสถาบันหรือการเมืองระดับชาติด้วย

การศึกษาการรวมกลุ่มชาวบ้าน จะพิจารณาทั้งกลุ่มที่เกิดขึ้นเองโดยมีเงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นแรงผลักดัน และกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับการจัดตั้งโดยรัฐ เพื่อที่จะมองเห็นทางเลือกต่างๆ ของชาวบ้านในการสร้างอำนาจต่อรองหรือสร้างโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร และที่สำคัญจะช่วยให้เข้าใจถึงการสร้างช่องทางในการเชื่อมต่อกับการเมืองเชิงสถาบันของกลุ่มชาวบ้านได้เป็นอย่างดี

มิติที่สาม ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองวัฒนธรรมและความรู้สึกนึกคิด กระบวนการสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งแห่งที่ของคนในชนบท โดยศึกษาผ่าน “สื่อ” ทางวัฒนธรรมทุกรูปแบบ เช่น เพลง วิทยุชุมชน การพบปะสนทนา (แหล่งที่พบปะ และเนื้อหาที่สื่อสารกันในวงเสวนา) ว่ามีความหมายระดับลึกและสัมพันธ์กันในเชิงการเมืองอย่างไร

หากมองว่าวัฒนธรรมคือระบบของความหมายที่ผูกพันชีวิตของคนไว้กับสังคม ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมย่อมทำให้ผู้คนเกิดการให้ความหมายแก่ชีวิต และสังคมรอบตัวในวิถีทางใหม่ ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด การให้คุณค่าต่อสิ่งดี/เลว และนำมาสู่การสร้างสรรค์สรรพสิ่งทางวัฒนธรรมใหม่ เพื่อให้ตรงใจหรือตรงกับอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง อาจกล่าวได้ว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น เป็นผลโดยตรงของโครงสร้างอารมณ์ความรู้สึกยิ่งเสียกว่าลักษณะทางภววิสัยของสังคม ทำให้อุดมการณ์ทางการเมืองและการปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนทุกกลุ่ม

มิติสุดท้าย ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงในการเมือง “ของ” ประชาชน การศึกษาเรื่องความเปลี่ยนแปลงในการเมือง “ของ” ประชาชน จะศึกษาผ่านการรวมกลุ่มและการแสดงออกทางการเมืองที่สามารถ/ไม่สามารถเข้าไปร่วมแบ่งสรรหรือใช้ประโยชน์จากทรัพยากรต่างๆ ทั้งในชุมชนและส่วนที่มาจากสถาบันทางการเมืองที่เป็นทางการในท้องถิ่นและในส่วนกลาง รวมไปถึงการเข้าร่วมทางการเมืองโดยตรงไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุ่มเพื่อต่อต้านนโยบายบางอย่างของรัฐ เช่น กลุ่มที่สัมพันธ์อยู่กับนักพัฒนาเอกชน หรือการรวมกลุ่มเพื่อสนับสนุน/ต่อต้านรัฐบาลโดยรวม (คนเสื้อแดง คนเสื้อเหลือง)

การเชื่อมตนเองเข้ากับการเคลื่อนไหวการเมืองในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ย่อมไม่ใช่ผลผลิตของปัจจัยทางสังคมเศรษฐกิจเพียงปัจจัยเดียวอย่างแน่นอน หากแต่เป็นผลรวมของการปะทะประสานกับความเปลี่ยนแปลงหลากหลายมิติที่เกิดขึ้นรอบตัว และกลั่นกรองมาสู่การสร้างความหมายร่วมทางการเมือง อันนำมาซึ่งการตัดสินใจที่จะเคลื่อนไหวที่สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยของชีวิต

การศึกษาทั้งสี่มิติของความเปลี่ยนแปลงในชนบทนี้ จะศึกษาโดยใช้แนวพินิจเชิงประวัติศาสตร์ (Historical approach) ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของชนบทได้อย่างชัดเจนและละเอียดอ่อนมากขึ้น และจะศึกษาทั้งสี่มิติอย่างมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะทำให้เข้าใจถึงพัฒนาการและปัญหาของประชาธิปไตยไทยอย่างกว้างขวาง ซับซ้อน และรอบด้าน ซึ่งจะทำให้สังคมไทยมองเห็นทางเลือกและทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองนี้ไปได้ในที่สุด