สอนสมอง (2)

สอนสมอง (2)

สัปดาห์ที่ผ่านมา เราคุยกันเรื่องการบริหารการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเรื่องทั้งสำคัญและท้าทาย

ที่การได้มา ว่ายากแล้ว การเก็บไว้ให้อยู่ ยิ่งยากมากกว่า

วิธีการหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่งในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การเปลี่ยนในระดับตัวบุคคล

ระบบจะปรับรับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะใช้ไอทีเสริม เติมด้วยการยกเครื่องขั้นตอน แถมสอนวิธีการใหม่ ทำได้สารพัด แต่จะปฏิบัติจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของแท้หรือไม่ อย่างไรๆ ก็อยู่ที่ คน

เมื่อมองระดับบุคคล การเปลี่ยนแปลงก็เหมือนแกล้ง ดังเล่นแข่งวิ่งจับเงาตัวเราเอง

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง เราใช้สมองตรองดู อาจรู้ว่าดี รู้ว่าต้องเปลี่ยน แต่ทำยาก เพราะต้องฝืนสมองให้ลองทำสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นชิน เมื่อคิดว่ายาก เลยไม่อยาก เมื่อไม่อยาก เลยยิ่งเหมือนยากนับเท่าทวีคูณ

ดังนั้น หากเราสอนสมองให้ไม่ดื้อได้ ถือว่าเป็นหลักชัยสำคัญ อันจะทำให้การเปลี่ยนแปลงที่ต้องทำ ดำเนินไปได้ง่ายขึ้น

ที่ผ่านมา เราได้คุยกันถึงการช่วยทำให้สมองคล่องตัว โดยการดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวม อันจะส่งผลโดยตรงต่ออวัยวะชิ้นน้อยนี้ ซึ่งมีน้ำหนักแค่ประมาณ 2% ของร่างกายของเรา แต่เขากินจุ ดูดพลังเกินขนาด โดยกวาด 20 - 30% ของพลังงานแคลอรี่ที่เรามีไปใช้ในทุกๆวัน

ดังที่ได้คุยกันไว้ วิธีการกินอยู่ของเรา จึงสามารถทำให้สมองเฉาเหี่ยว หรือ เพรียวตึงได้โดยไม่ต้องร้อยไหม

นอกจากนั้น วิธีสอนสมองให้พร้อมปรับฉับไว คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

จากการวิจัยหลากหลาย อาทิ ผลงานของนายแพทย์ดัง Dr. Daniel Amen ผู้ทุ่มเททำการวิจัยเรื่องสมอง เพื่อพัฒนาศักยภาพตลอดจนคุณภาพชีวิตของคนในสังคม คุณหมอระบุว่า สมองมีเซลล์หลายล้านเซลล์ ซึ่งต่างสร้างเครือข่ายโยงใยต่อกันกันไปมา ยิ่งโยงใยมาก ยิ่งมีพลัง ทุกครั้งที่เรียนรู้สิ่งใหม่ ใยยิ่งเพิ่ม แต่เมื่อหยุดเติมการเรียนรู้ สมองจะเฉา ทำเอาเส้นที่โยงใยแห้งหายไปด้วย

คุณหมอจึงแนะนำว่า อย่าหยุดเรียนรู้ ไม่ว่าจะอายุเท่าใด เราทำให้สมองเต่งตึงขึ้นได้ ไม่จำกัดเวลา

นอกจากนั้น คุณหมอยังแอบบอกว่า กรุณาคบหาพรรคพวกที่ส่งผลดีต่อสมอง อาทิ หากวงเพื่อนเรา เขาชวนแต่กิน สูบ ดื่ม เที่ยว กรุณาทำใจ เตรียมสมองเหี่ยวก่อนวัยได้เลย

หากคบคนที่รักสุขภาพ ชวนกันออกกำลังกายกระหนุงกระหนิง ย่อมนำมาซึ่งสิ่งดีๆ ต่อทั้งสุขภาพใจ กาย อันหมายรวมถึงสมองของเรา

ยิ่งอยู่ในบรรยากาศที่บวก มีเพื่อนรอบข้างมองโลกในแง่ดี ยิ่งมีแต่ได้กับได้ เพราะอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สมองมีกำลังวังชา คือ การคิดบวก

คุณหมอบอกว่า เราต้องหมั่นฝึกทำลาย ANT ที่ไม่ใช่มด ANT ย่อมาจาก Automatic Negative Thought นั่นคือ การคิดอะไรเป็นร้ายได้หมดจดอย่างอัตโนมัติจัดเต็ม คิดจนเครียดเพราะความทุกข์เบียดบัง สมองเลยช่วยนั่งเซ็งซึม พร้อมทำหัวทึมทึ่มทันใจ

จะให้เขาแคล่วคล่อง ช่วยคิดช่วยเปลี่ยนอะไร ลืมได้เลย

บางศาสตร์จึงสอนให้เราฝึกบันทึกภาพความสุขไว้ในจินตนาการ เอาสักภาพให้ชัดเจนแจ่มแจ๋ว ยามทุกข์เมื่อไหร่ ให้ขยับความคิด เอาจิตไปมองภาพนั้นให้ทันท่วงที เป็นวิธีทำลาย ANT แบบง่ายๆ

หากบันทึกภาพในจินตนาการได้ยังไม่ชัด ก็จัดเป็นรูปของจริง พกไว้ในที่ใกล้มือ ยามเซ็งเร่งเอารูปขึ้นมาดู จะได้ไม่ต้องคิดติดพันกับสิ่งที่เกาะกินอารมณ์

ท่านที่คุ้นเคยกับการทำสมาธิ จะตระหนักถึงคำสอนว่า จิตเรารับรู้ได้ทีละหนึ่ง นั่นคือ ทุกครั้งที่ตัดความคิดลบออกไป แล้วใช้ความไว เอาใจไปไว้ที่อื่น เราก็จะไม่สามารถคิดถึงเรื่องลบได้ในขณะเสี้ยววินาทีเดียวกัน จึงไม่ต้องเอาเรื่องเศร้าเน่าเหม็นมาคิดติดสมองจนฟุ้งซ่าน จนเหม็นทนเหม็นนาน เกินการณ์ไปไกล กู่ไม่กลับ

ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ทำ ซ้ำๆ จนเชี่ยวชาญ คุณหมอย้ำว่าทำได้ แม้เคยมีพฤติกรรมที่เร่งให้สมองเหี่ยว ก็ยังเยียวยาหรือชะลอได้ ไม่เคยสายเกินไปครับ

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำได้ หากอยากคงสภาพสมองให้แล่นฉลุย คือ อย่าลุยงานต่อเนื่อง

มนุษย์ทำงานยุคนี้ มักขะมักเขม้น นั่งติดจอ ขอคิดเขียนนานนับชั่วโมง คุณหมอแนะนำว่า กรุณาให้เวลาสมองของเราพักบ้าง โดยลุกเปลี่ยนอิริยาบททุกชั่วโมงหรือบ่อยกว่า ลุกไปเข้าห้องน้ำ ลุกไปคุยขำๆกับเพื่อน ให้สมองผ่อนคลาย จะได้คิดอะไรใหม่ๆออก

คนดังๆ มากมายให้ความสำคัญเรื่องนี้ อาทิ Bill Gates ยามที่เขายังกุมบังเหียนอาณาจักร Microsoft ก็พักเพื่อคลายภาระหาเวลาคิดตรึกตรอง เพื่อผ่อนสมองเป็นเรื่องเป็นราว ปีละ 1 เดือน

นอกจากนั้น ความคิดเฉียบคมที่แว๊บเข้ามายามสมองผ่อนคลาย ศึกษาได้ในหลายกรณี เช่น Sir Isaac Newton ที่ค้นพบทฤษฏีแรงโน้มถ่วงของโลก ตอนนั่งเคลิ้มๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่นใต้ต้นแอปเปิ้ล Archimedes ก็ร้อง “ยูเรก้าๆ ฉันพบแล้วๆ” อย่างมีชัย เพราะหลังจากพยายามคิดหาวิธีในการหาปริมาตรของวัตถุซึ่งมีรูปทรงแปลกๆ เท่าไหร่ๆ ก็คิดไม่ออก แต่กลับคิดได้ตอนขณะพักสบายใจ กำลังก้าวลงในอ่างอาบน้ำ และเห็นระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นเท่ากับปริมาตรของตัวเขานั่นเอง

หากอยากสอนสมองให้แคล่วคล่อง ว่องไว มาช่วยกันแข่งทำสมองให้ตึงเต่ง เบ่งบาน น่าจะเป็นประโยชน์กว่าการกระหน่ำย้ำร้อยไหมให้ตึงแต่กายภายนอก สมองขอบอกอย่างจริงใจค่ะ